วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 6 วันแรกใน Houston

และแล้วก็ล่วงเลยมาถึงตอนที่ 6 ซึ่งก็คือวันแรกนั่นเอง
ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 7 เช้าได้ คิดว่าแถวนี้คงพอมีร้านค้าอะไรกินบ้าง ก็เลยจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยพร้อมหาของกิน พอเดินออกจากโรงแรมมาก็เลี้ยวซ้ายเดินไปตามทางเดินลัดเลาะไปตามถนน เพราะจำได้ว่าเมื่อวานนี้เดินไปทางขวานั้นไม่มีร้านด๋อยอะไรขายอาหารเลย จึงต้องมาวัดดวงกับอีกข้างนึง ซึ่งจำได้ว่าเห็น Starbucks แว็บ ๆ แสดงว่า เวิ้งใกล้ ๆ กันก็น่าจะมีของกิน(มั้ง) ซึ่งการเดินรอบนี้ก็ไกลพอควรประมาณ 3 บล็อก (ประมาณ 10 นาที) พอเดินไปถึงก็ต้องแอบผิดหวังเพราะมีแค่ Starbucks กับ Jamba juice ไม่มีร้านอื่นเลย ก็ได้แต่แอบเซง แล้วก็เดินท้องกิ่วกลับมาที่โรงแรม

ฉากตัดมาที่โรงแรม เนื่องด้วยหิวข้าวอย่างแรง ก็เลยไปถามที่ reception ด้วยภาษาอังกฤษกาก ๆ ว่ามีอะไรกินไหม เฮ้ยไม่ใช่ ห้องอาหารอยู่ไหน เค้าก็ตอบกลับมาว่าอยู่ชั้น 2 ค่ะ ก็เลยไปส่อง ๆ ดู ก็เห็นห้องอาหารเปิดแล้วก็เลยเดินเข้าไป พนักงานก็ถามว่ามากับกรุ๊ปอะไรหรือเปล่า ผมก็ตอบไปว่า ไม่ครับ ผมมาคนเดียวครับ (แอบเหงาอย่างแรงด้วย) อันหลังนี้ไม่ได้พูดนะ คิดในใจเฉย ๆ พอตอบเสร็จ waitress ก็นำทางมายังโต๊ะอาหารพร้อมนำเมนูอาหารเช้ามาให้ แล้วก็ปล่อยให้เราดูเมนูซักพัก จากเมนูก็ไม่รู้จะกินอะไรก็เลยจิ้มอันที่แพงที่สุด เพราะมันดูได้เยอะสุดแล้ว (อารมณ์ตอนนั้นหิวมากกก) ก็เลยสั่งมา


อาหารเช้าสุดหรู ที่พอกินได้ รสชาติไม่เท่าไหร่ สู้โจ๊กหรือข้าวราดแกง ก็ไม่ได้ สงสัยลิ้นไม่ถึงมั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 5 Howdy Houston

และแล้วก็ได้เวลาที่เครื่องบินลงจอดที่สนามบิน Houston
หลังจากที่เครื่องจอดสนิทและประตูเปิดออก ผู้โดยสารก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าอย่างพร้อมเพรียงและตรงดิ่งไปรับกระเป๋า ซึ่งไม่ไกลจาก ประตูที่เดินเข้ามามากนัก เนื่องด้วยเป็น flight ในประเทศ ก็เลยค่อนข้างไม่มีอะไรมาก หลังจากไปรับกระเป๋าแล้วก็ได้เวลาหาแท็กซี่เพื่อเดินทางไปที่จุดหมายต่อไป JW Marriott Houston ตอนนั้นก็ประมาณ 5 โมงเย็น

หลังจากนั่งบนแท็กซี่ แล้วก็นั่งคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย อากาศที่นี่ค่อนข้างร้อน ทำให้แอบคิดไม่ได้ว่าทำไมตูไม่เอาขาสั้นมาด้วยฟะจะได้มีใส่ แต่ก็ไม่ทันละ ช่างมันเหอะ ระหว่างทางก็นั่งชมวิวข้างทาง คุยกับคนขับนิดหน่อย (ซึ่งฟังไม่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง) จากสนามบินมาถึงโรงแรมก็เกือบชมได้ซึ่งเวลานั้นการจราจรค่อนข้างคับคั่งเพราะวันศุกร์เย็น และตรงข้ามโรงแรมก็คือห้าง GALLERIA ห้างช็อปปิ้งใหญ่ยักษ์ประจำเมือง Houston ก็แอบเล็งไว้กะว่าพรุ่งนี้จะไปเดินชมซักหน่อย

พอรถมาถึงที่โรงแรมก็จ่ายค่าโดยสารไป ซึ่งถ้ามาเองคงนั่ง shuttle bus แทนเพราะแท็กซี่ที่นี่แพงมากกกกก ได้เวลาเข้ามาโรงแรม ซึ่งโรงแรมก็หรูหราอย่างที่คิด พนักงานก็บริการดีมาก ประทับใจในมากขอบอก หลังจาก check-in เสร็จก็ตรงดิ่งมาที่ห้องเพื่อเอากระเป๋ามาเก็บล้างหน้าล้างตา นั่งพักได้ซัก 5 นาทีก็ได้เวลาออกจากห้องต่อ เพราะกะว่าจะไปซื้อ sim card สำหรับมือถือจะได้โทรบอกที่บ้านได้ว่าเดินทางถึงโดยปลอดภัย หลังจากถามทาง bell boy หน้าประตูก็ได้ความว่ามีร้าน T-Mobile ถัดไปประมาณ 2 แยก ซึ่งก็ไม่ไกลมาก ที่จริงทางโรงแรมมีบริการรถรับส่งในระยะ 1 ไมล์ แต่เค้าบอกว่าอีก 10-15 นาทีถึงจะกลับมา ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินไปเอง จะได้ยืดเส้นยืดสายด้วย ระหว่างทางก็เจอทั้ง Walgreen และ CVS ซึ่ง ร้าน T-Mobile ก็อยู่ตรงข้ามกับ CVS ในบริเวณเวิ้งขายของ

หลังจากผ่านกระบวนการแนะนำและนำเสนอสินค้า ก็มาตกลงที่ โปรที่ถูกที่สุด 10 USD / 30 mins ตอนจ่ายตังเสร็จคนขายก็แซวว่าอย่าเผลอใช้เยอะเกินไปนะ ก็ได้แต่ตอบโอเค กับ หัวเราะกลับ เพราะไม่รู้จะตอบอะไรดี

หลังจากที่ mission แรกสำเร็จ mission ต่อไปก็ไปซื้อบัตรโทรศัพท์ที่ Walgreen ตอนแรกกะว่าจะโทรที่โรงแรม แต่พนักงานที่นั่นแนะนำว่าซื้อ international call card ดีกว่า โทรโรงแรมแพงมาก ซึ่งพอไปดูเรทก็ โอ้ว….แม่จ้าว แพงจริงๆ กลับมาที่ Walgreen ต่อ หลังจากได้บัตรโทรศัพท์ ก็เดินเล่นข้างในชมของ(กิน) โดยเฉพาะไอติมซึ่งอยากกินมาก ก็ไปเล็งไว้เดี๋ยวมารับไปกินทีหลัง >___<

ตอนจ่ายตังซื้อก็ถามเค้าว่าใช้ไง เค้าก็อธิบายมา บลา บลา… ก็คิดว่าเข้าใจนะ ก็เลยเดินกลับมาที่โรงแรม พอมาถึง ที่ห้องมองไปที่นาฬิกาก็เวลาประมาณ 2 ทุ่มแล้ว ก็เลยลองโทรกลับบ้านก็พบกว่าโทรไม่ได้ หลังจากพยายามงมพักใหญ่ไม่เป็นผลเลยลงไปหา reception ข้างล่างเพื่อขอความช่วยเหลือ เค้าก็บอกกด 011 ด้วยนะก่อนกดรหัสประเทศ ไอ้เราก็อ้าวรือ ไอ้คนขายไม่เห็นบอกด๋อยอะไรเลย ก็เลยลองโทรที่ lobby ดูว่าได้ป่าว ก็โทรติด ก็เลยคุยกับที่บ้านหน่อยนึง ไม่กล้าคุยนานเดี๋ยว นาทีมือถือ กะ ตังของบัตรหมด หลังจากคุยเสร็จก็ว่าจะกินอะไรแต่ง่วงมากกว่าเลย กลับห้องไปนอน

พออาบน้ำ แช่น้ำอุ่น สระผมเรียบร้อยก็ได้เวลานอน ซึ่งน่าจะดึกพอสมควรมั้ง ก็หลับไปไม่รู้เรื่องตื่นมาอีกที ตี 2 ก็เลยนอนดูทีวีกลิ้งไปมา ก็นอนไม่หลับ พอประมาณตี 5 เริ่มหิวละ แต่กะว่าเดี๋ยวซัก 7 โมงเช้าค่อยออกไปกินอะไรแล้วกัน ระหว่างนี้ไม่มีไรทำก็เลยเขียน blog รอเวลาตอนนี้ก็เวลา 6:30 แล้วข้างนอกยังมืดอยู่เลย เดี๋ยวนั่งอีกซักพักก็ได้เวลาหาของกิน

เดี๋ยววันนี้ ต้องไปหาวิธีต่อเน็ตด้วยจะได้อัพ blog ได้ซักที เมื่อวานตอนเย็น ๆ ไปดู fitness มา โชคดีอยู่ชั้นเดียวกัน เลยเดินไปสบายเลย เดี่ยววันไหนฟิตจะไปออกนะ ตอนนี้คิดเรื่องกินก่อน อิอิ

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 4 ทางตัน ณ Seattle

และแล้วก็มาถึง Seattle ซักที พอมาถึงก็ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองตามระเบียบ หลังจากผ่านเข้ามา ก็เดินไปรับกระเป๋าที่สายพาน ซึ่งมี อยู่ 2 ช่อง ตอนไปยืนรอก็ทำเอาเหวอ (อีกแล้ว) เพราะทั้งสองสายพานไม่มีสายการบินที่ตูมาเลย แต่มองซ้ายมองขวาแล้วก็คิดว่ารอยืนดูซักพักแล้วกันวะ เผื่อมันจะอยู่แถวนี้ พอยืนได้ซํกพักก็ในที่สุดกระเป๋าก็มา ก็ได้เวลาลากต่อไปเพื่อหาทางไปเปลี่ยนเครื่อง ก็ดีที่ทาง สายการบินให้ วิธีการต่อเครื่องมาด้วย ดังรูป



วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 3 สนามบินโนบิตะ ตึ๊ง โป๊ะ

สวัสดีครับมาถึงตอนที่ 3 ซักที อย่าพึ่งเบื่อกันหล่ะ ถ้าเขียนเนื้อเรื่องไปเร็ว เดี๋ยวมุขจะหมด แล้วจะได้ดองยาวเหมือนเรื่องอื่น ๆ

เอาหล่ะวกกลับมาต่อ ในตอนนี้เครื่องบินก็ได้กำลังดิน (land = ดิน, landing = กำลังดิน) ไม่ต้องคอมเม้นท์บอกนะ เพราะรู้อยู่แล้วว่า มันแป๊กมากกก… ต่อ ๆ พอเครื่องจอดสนิทพร้อมสัญญาณถอดเข็มขัด ก็เริ่มเห็นผู้โดยสารถอดเข็มขัดออกแล้วก็ลุกขึ้นเพื่อหยิบกระเป๋า แต่ไม่ต้องกลัวว่ากางเกงจะหลุดนะเพราะเค้าถอดเข็มขัดนิรภัย ไม่ใช่เข็ดขัดกางเกง (…………งืด)

พอเก็บของเรียบร้อยก็เตรียมทยอยลงเครื่องกัน ซึ่งค่อย ๆ ลงบันไดแล้วก็ออกประตูไป ระหว่างที่กำลังจะออกจากเครื่องก็หันไปเห็นแอร์กำลังทำหน้าที่เหมือนตำรวจจราจร คอยกั้นคนไม่ให้คนที่นั่ง economic ออก ต้องปล่อยให้พวกจ่ายแพงออกก่อน เห็นแล้วก็ทำให้คิดได้ ว่าอยู่ประตูเปิดตั้งนานละทำไมแถวใน economic มันไม่เดินกันซักที ที่แท้ต้องให้พวกนี้ลงก่อนนี่เอง คิดได้ละก็รีบเดินออกมาเพื่อจะไปต่อเครื่องบินลำที่จะไป Seattle ต่อไป

พอเดินออกมาจากเครื่องบินก็จะการตรวจคนอีกรอบ ซึ่งพลังอภิสิทธิ์กำสำแดงเดชอีกรอบ ไลน์จะตรวจมี 4 แถว 2 แถวของ eco อีก 2 แถว สำหรับ business กับ first class แต่จำนวนคนแน่ต่างกันเยอะเลย

พอผ่านการตรวจคนเข้ามาก็หลุดเข้ามาสู่อาณาเขต duty free ซึ่งแน่นอนได้รับการฝากฝัง เชิงสะกดจิต ก่อนมาว่า Royce ๆ ๆ ๆ ๆ อย่าลืมโดยเด็ดขาด ซึ่งก่อนมาก็ไม่รู้จักแต่พอมาถึงเห็นมันเป็นตู้เลย แสดงว่ามันคงดังน่าดูเลย


ช็อคโกแลต หรอย(Royce)


วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 2 ฉันจะบิน บินไปได้หยั่งนก

พบกันอีกครั้งนะครับ ท่านผู้อ่าน ตอนนี้เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นเลย (ตรงไหนวะ..) ช่างเหอะ เอาเป็นว่า เรามาติดตามต่อกันเลยแล้วกันครับ

ความเดิมจากตอนที่แล้วนั้น ผมกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์เชื่อมเพื่อจะไปขึ้นเครื่องบิน…
ความใหม่ในตอนนี้ หลังจากเดินมาถึงที่เครื่องบินแล้วก็ได้เวลาเดินหาที่นั่งซักที ซึ่งประตูที่เข้าก็เป็นประตูหน้าซึ่งเริ่มด้วยที่นั่งของ first class หลังจากนั้นก็เป็นที่นั่งของ Business class อะฮ้า ซึ่งเป็นของเรานั่นเอง อืม ว่าแต่นั่งเบอร์อะไรหว่า พลางหยิบตั๋วขึ้นมาดู 17B เหรอ หลังจากก้มดูตั๋วเสร็จก็เงยหน้ามองหาที่นั่ง อืม ตรงนี้เบอร์ 11 เดินไปอีกหน่อยก็ของเราละ ผมก็เดินไล่เลขที่นั่งไปเรื่อย ๆ 12, 13, 14, 15, 16 หลังจากเบอร์ 16 ก็เป็นช่องว่างที่พวกแอร์ชอบไปซ่อนตัวอยู่ ผมก็คิดว่าหลังนี้คงเป็นที่นั่งของเรา พลางชะโงกหัวไปดู อ้าวกรรมทำไมมันเริ่มที่เบอร์ 19 ฟะ แล้วทำไมเป็นที่นั่งeconomic แล้วเนี่ย แล้วที่นั่งตูอยู่ไหนเนี่ย หรือว่าจะให้ตูนั่งตักไอ้เบอร์ 16 ฟะ

หลังจากกวาดตามองไปได้ซักพักก็ไปเจอกะบันไดปริศนา ซึ่งไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าชั้นบนมันคืออะไร ไม่มีป้าย ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ (หรือว่าไม่เห็นเองก็ไม่รู้ แต่ขอโบ้ยไปก่อน) ก็เลยคิดว่าเอาวะลองไปส่องดูละกัน ไม่ใช่ค่อยปีนกลับลงมาถาม แอร์ทีหลังละกัน (แอร์โฮสเทสนะ ไม่ใช่แอร์กี่ถึงมีแต่ป๊า ๆ ก็เหอะ ว่าแต่เขียนแอร์โฮสเตสถูกไหมหว่า… ช่างเหอะ ไปต่อดีกว่า)

พอปีนบันไดขึ้นไปแล้วก็กวาดสายไปมาก็พบกับเก้าอี้โดยสาร ซึ่งตอนนั้นถึงยังมองไม่เห็นเบอร์ที่นั่งตัวเองก็แอบใจชื้นขึ้นมาบ้าง เลยเดิน ไปดูตามเก้าอี้ และก็พบแล้วที่นั่งลับหมายเลข 17B ที่ซ่อนอยู่ชั้นบนของเครื่องนี้ ซึ่งเป็นแถวหน้าสุดติดห้องน้ำ มองไปหน้าอีกนิดก็เห็นคนขับนั่งเมาท์กันอยู่ (เม้าท์นี่คุยกันนะ ไม่ใช่นั่งเมาท์ทูเมาท์)

หลังจากที่คลายความกังวลในการหาเก้าอี้เสร็จก็ได้เวลาซึมซาบความหรูหราของเก้าอี้ แน่นอนมันไม่ใช่เก้าอี้ธรรมดาเหมือน economic มันคือเก้าอี้ไฮโซของ business class ไม่ต้องหดตัวห่อไหล่เหมือนปกติที่เคยนั่ง


พยายามหารูปจาก Google แล้วแต่ยังหาไม่ได้ไว้ขากลับถ้านั่งเครื่องเดิมจะถ่ายมาให้ดูละกัน

ตอนนี้ก็เอากระเป๋าไปฝากไว้กะแอร์ เพราะที่เก็บกระเป๋าบนหัวไม่สามารถยัดกระเป๋าเข้าไปได้ พอไปฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ ความรู้สึกแรกคือ นั่งสบายโคตร กว้างขวาง ไม่ต้องนั่งห่อไหล่ขมิบตูดกลัวกินที่คนข้าง ๆ เบาะก็นุ่มกว่า (อุปมาน ไปเองรึเปล่าไม่รู้) แต่โดยรวมดีกว่า ทีวี ก็ดูสบาย แปะกำแพงไม่ใช่แปะกับเบาะคนข้างหน้า ซึ่งมันนอนที ก็ไม่ต้องดูกันเลยทีเดียว แล้วก็มีฟังก์ชั่นๆ อื่น ๆ รอบตัว ซึ่งอยากบอกว่า … กูใช้ไม่เป็น…

พอนั่งได้ซักพัก ประตูเครื่องบินปิด และเครื่องก็เตรียมออกทะยาน ซึ่งหลังจากบินไปได้ซักพักก็มีประกาศตามธรรมเนียมทั่วไป ต่อมาก็มีการแจกน้ำพร้อมเมนูอาหารเช้า ซึ่งในเมนูมีให้เลือกสามอย่าง
- Omelet
- ผัดหมี่เหลืองไก่ - Chicken noodle
- Cereal (ซี้เลี้ยว) – ขยายความมุขเพิ่มเติม สมัยก่อนมีนิตยสารการ์ตูนรายเดือนชื่อ Cereal ซึ่งมันไม่ดังและก็เจ้งเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ เคยพยายามซื้อหนังสือ Cereal จากอาแปะที่ขายหนังสือ เห็นร้านใหญ่ดีคิดว่าคงมีนิตยสารการ์ตูนนี้ เพราะหาซื้อยากเหลือทน
ผม “เออ มีหนังสือ Cereal ไหมครับ”
แปะ “หา หนังสืออะไรนะ”
ผม “Cereal ครับ เป็นหนังสือนิตยสารการ์ตูนรายเดือนครับ”
แปะ “ม่ายมีอะ ว่าแต่หนังสืออะไรชื่อไม่เป็นมงคลเลย ชื่อ ซี้เลี้ยว เหอะๆ”
ผม “-__-”

ย้อนกลับมาสู่เมนูบนเครืองบินอีกครั้ง หลังจากดูเมนูเสร็จก็พลิกไปหน้าต่อไป โอ้มีเมนูไวน์ด้วย ไวน์แดง ไวน์ขาว แล้วก็ แชมเปญ ซึ่งดูจากชื่อแล้ว ไม่รู้จักซัก อัน เห็นพาดหัวว่าเป็นไวน์ที่ถูกคัดสรร โดยใครสักคนนี่แหละ คงดีอยู่มั้ง แต่แอบงง คือ มึงจะให้กิน ไข่เจียว (Omelet) หรือ Cereal กะไวน์แต่เช้าเนี่ยนะ แล้วสภาพแต่ละคนคือตาโหลไม่ได้นอนมา แดกไวน์จะไม่เดี้ยงกันหมดลือ แต่ก็ได้แต่คิดในใจไม่กล้าถามแอร์ออกไปกลัวโดนสวน

พอนั่งได้ซักพักแอร์สาว(ตอนกลาง) ก็มาถามว่ากินอะไรดี เพื่อความเซฟเลยสั่ง ผัดหมี่ไก่ไป เจ้ แกก็ถามต่อว่า อะไรเป็น choice ที่สอง ก็เลยสั่ง Omelet ไป เจ้แกก็ถามต่อว่าดื่มอะไรไหม ก็เลยสั่ง Coke ไป หลังจากถามจนพอใจแล้วเจ้ แกก็เดินจากไป เพื่อไปหาคนอื่น ๆ ถามความต้องการต่อไป (ที่จริงอยากแอบมึนถามกลับว่าทำไมต้องมี second option วะ คิดว่า business น่าจะเสริฟก่อนนะ หรือว่าอาหารไม่เหมือนกันหว่า มันเลยต้องมีทางเลือก เผื่อสั่งเหมือนกันหมด แล้วไม่มีของให้เหรอ…)

หลังจากดูหนังแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นไปได้ซักหน่อย อาหารก็มาเสริฟ ซึ่งอยากบอกว่า ผัดหมี่ไก่จานใหญ่เบิ้ม หันไปข้าง ๆ ก็เห็นเจ้ฝรั่งนั่งกิน Omelet อยู่ แต่ก็ไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ ก็เลยจัดการโซ้ย นอกจากหมี่ไก่ก็ยังมีเครื่องเคียงมาด้วยข้าง ๆ ซึ่งจำไม่ได้ละว่าเป็นอะไร แต่ก็พอกินได้ สรุปกินจนเสร็จเหลือหมี่ไก่อีกครึ่งจาน เสียดายของนะ แต่ไม่ค่อยอร่อย ถ้าอร่อยจะบอกไปใส่ถุงให้หน่อยเผื่อเอาไปกินรอระหว่างรอเครื่อง อิอิ (ล้อเล่น)

พอกินเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาดูหนัง ซึ่งก็มีรีโมทให้ตัวนึง เลือกหนังที่อยากดูได้ของใครของมันไม่เกี่ยวกัน ดูตามใจฉันไม่ต้องตามใจคนเปิด ทริปนี้ก็ได้ดูหนังไป 2 เรื่องซึ่งหลับ ๆ ตื่น ๆ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ที่หลับ ๆ ตื่น ๆ ก็เพราะว่า เก้าอี้ไฮโซ สามารถปรับเบาะได้เยอะมากเกือบเป็นเตียงเลยทีเดียว ซึ่งสบายอย่างแรง จนไม่เป็นอันดูหนังเลย

พอบินไปได้พักใหญ่ หลายชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงสนามบิน โนบิตะ เฮ้ย Narita ซะที ซึ่งหลังจากเครื่อง landing เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลงเครื่องไปยืดเส้นยืดสาย เดินช็อปปิ้งซะที….

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 1 ทริปหรรษาสู่ Houston สู่ความเวิ้งว้าง อันไกลโพ้น(ทะเล)

และแล้วก็ถึงฤกษ์งามยามดีจะได้เดินทางไป Houston ซํกที นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางแบบ Business Trip แอบตื่นเต้น อย่างแรง เพราะได้ยินจากคำล่ำลือมาเยอะ ว่าดีอย่างนู้น ดีอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ลองกะเขาบ้าง เอาละไม่ต้องพูดพร่ะทำแป๊ะมากเลยเรื่องเลยดีกว่า

ทริปนี้แอบขรุขระนิดหน่อย กอปรกับตรงที่เวลาค่อนข้างกระชั้นเลยต้องรีบทำอะไรให้เสร็จทำให้หัวปั่นนิดหน่อย

ขอเริ่มต้นเรื่องที่ค่ำคืนวันพฤหัสที่ฝนพรำ ๆ … ผมก็ทำนู่นทำนี่รอเวลาเดินทางในยามค่ำคืน เนื่องด้วยเครื่องบินนั้นมีตารางจะออกบินตอนหกโมงเช้าของวันศุกร์ (6 am) นั่นเอง ก็เลยทำให้คืนนี้ต้องโต้รุ่งเลยทีเดียว ที่จริงตอนแรกว่าจะนอนซักหน่อยรอใกล้ ๆ เวลาค่อยออกบ้าน แต่โดนหลายคนไซโค + กลัวรถติด น้ำท่วมทาง ก็เลยวางแผนที่จะออกบ้านเร็วกว่าที่คิดนิดหน่อย คือตอนแรกว่าจะออกซักตี 3 ไปถึงจะได้ไม่ต้องรอนาน แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ต้องออกบ้านตอนตี 2 เพื่อความปลอดภัย และแน่นอนจะออกบ้านตี 2 คงไม่ได้นอนแน่นอน ไม่งั้นหลับยาวตื่นไม่ทันชัวร์ แต่ที่น่าแปลกคือไม่ว่าจะต้อง โต้รุ่งคราใด ก็ต้องมาดันง่วงนอน โคตร ๆ ทุกที ทีวันที่อื่นกะว่าจะนอนไม่ดึก ซึ่งรู้ตัวอีกทีก็ ตี 2 ยังนอนดูหนังเล่นเกมไม่มีปัญหา =____=

แล้วรอบนี้ก็แปลก ปกติผมคงไปโบกรถแท็กซี่หน้าบ้านไปสุวรรณภูมิแต่ด้วยการโดนไซโค(อีกแล้ว) เลยโทรแจ้งศุนย์ เรียกแท็กซี่มารับ ตี 2 ตรง …แท็กซี่ ก็มารับตรงเวลาดี และเมื่อล้อหมุนออกมาจากบ้านก็ได้พบว่า แหมะถนนโคตรว่างเลย ตูรีบออกบ้านทำไมเนี่ย รู้งี้นั่งเล่นเกมอีกซํกหน่อยดีกว่า ระหว่างทางก็กึ่งหลับกึ่งตื่นจนมาถึงสุวรรณภูมิ



กระเป๋าเดินทาง 2 ใบ พร้อมของเต็มอัตรจุ