วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 2 ฉันจะบิน บินไปได้หยั่งนก

พบกันอีกครั้งนะครับ ท่านผู้อ่าน ตอนนี้เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นเลย (ตรงไหนวะ..) ช่างเหอะ เอาเป็นว่า เรามาติดตามต่อกันเลยแล้วกันครับ

ความเดิมจากตอนที่แล้วนั้น ผมกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์เชื่อมเพื่อจะไปขึ้นเครื่องบิน…
ความใหม่ในตอนนี้ หลังจากเดินมาถึงที่เครื่องบินแล้วก็ได้เวลาเดินหาที่นั่งซักที ซึ่งประตูที่เข้าก็เป็นประตูหน้าซึ่งเริ่มด้วยที่นั่งของ first class หลังจากนั้นก็เป็นที่นั่งของ Business class อะฮ้า ซึ่งเป็นของเรานั่นเอง อืม ว่าแต่นั่งเบอร์อะไรหว่า พลางหยิบตั๋วขึ้นมาดู 17B เหรอ หลังจากก้มดูตั๋วเสร็จก็เงยหน้ามองหาที่นั่ง อืม ตรงนี้เบอร์ 11 เดินไปอีกหน่อยก็ของเราละ ผมก็เดินไล่เลขที่นั่งไปเรื่อย ๆ 12, 13, 14, 15, 16 หลังจากเบอร์ 16 ก็เป็นช่องว่างที่พวกแอร์ชอบไปซ่อนตัวอยู่ ผมก็คิดว่าหลังนี้คงเป็นที่นั่งของเรา พลางชะโงกหัวไปดู อ้าวกรรมทำไมมันเริ่มที่เบอร์ 19 ฟะ แล้วทำไมเป็นที่นั่งeconomic แล้วเนี่ย แล้วที่นั่งตูอยู่ไหนเนี่ย หรือว่าจะให้ตูนั่งตักไอ้เบอร์ 16 ฟะ

หลังจากกวาดตามองไปได้ซักพักก็ไปเจอกะบันไดปริศนา ซึ่งไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าชั้นบนมันคืออะไร ไม่มีป้าย ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ (หรือว่าไม่เห็นเองก็ไม่รู้ แต่ขอโบ้ยไปก่อน) ก็เลยคิดว่าเอาวะลองไปส่องดูละกัน ไม่ใช่ค่อยปีนกลับลงมาถาม แอร์ทีหลังละกัน (แอร์โฮสเทสนะ ไม่ใช่แอร์กี่ถึงมีแต่ป๊า ๆ ก็เหอะ ว่าแต่เขียนแอร์โฮสเตสถูกไหมหว่า… ช่างเหอะ ไปต่อดีกว่า)

พอปีนบันไดขึ้นไปแล้วก็กวาดสายไปมาก็พบกับเก้าอี้โดยสาร ซึ่งตอนนั้นถึงยังมองไม่เห็นเบอร์ที่นั่งตัวเองก็แอบใจชื้นขึ้นมาบ้าง เลยเดิน ไปดูตามเก้าอี้ และก็พบแล้วที่นั่งลับหมายเลข 17B ที่ซ่อนอยู่ชั้นบนของเครื่องนี้ ซึ่งเป็นแถวหน้าสุดติดห้องน้ำ มองไปหน้าอีกนิดก็เห็นคนขับนั่งเมาท์กันอยู่ (เม้าท์นี่คุยกันนะ ไม่ใช่นั่งเมาท์ทูเมาท์)

หลังจากที่คลายความกังวลในการหาเก้าอี้เสร็จก็ได้เวลาซึมซาบความหรูหราของเก้าอี้ แน่นอนมันไม่ใช่เก้าอี้ธรรมดาเหมือน economic มันคือเก้าอี้ไฮโซของ business class ไม่ต้องหดตัวห่อไหล่เหมือนปกติที่เคยนั่ง


พยายามหารูปจาก Google แล้วแต่ยังหาไม่ได้ไว้ขากลับถ้านั่งเครื่องเดิมจะถ่ายมาให้ดูละกัน

ตอนนี้ก็เอากระเป๋าไปฝากไว้กะแอร์ เพราะที่เก็บกระเป๋าบนหัวไม่สามารถยัดกระเป๋าเข้าไปได้ พอไปฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ ความรู้สึกแรกคือ นั่งสบายโคตร กว้างขวาง ไม่ต้องนั่งห่อไหล่ขมิบตูดกลัวกินที่คนข้าง ๆ เบาะก็นุ่มกว่า (อุปมาน ไปเองรึเปล่าไม่รู้) แต่โดยรวมดีกว่า ทีวี ก็ดูสบาย แปะกำแพงไม่ใช่แปะกับเบาะคนข้างหน้า ซึ่งมันนอนที ก็ไม่ต้องดูกันเลยทีเดียว แล้วก็มีฟังก์ชั่นๆ อื่น ๆ รอบตัว ซึ่งอยากบอกว่า … กูใช้ไม่เป็น…

พอนั่งได้ซักพัก ประตูเครื่องบินปิด และเครื่องก็เตรียมออกทะยาน ซึ่งหลังจากบินไปได้ซักพักก็มีประกาศตามธรรมเนียมทั่วไป ต่อมาก็มีการแจกน้ำพร้อมเมนูอาหารเช้า ซึ่งในเมนูมีให้เลือกสามอย่าง
- Omelet
- ผัดหมี่เหลืองไก่ - Chicken noodle
- Cereal (ซี้เลี้ยว) – ขยายความมุขเพิ่มเติม สมัยก่อนมีนิตยสารการ์ตูนรายเดือนชื่อ Cereal ซึ่งมันไม่ดังและก็เจ้งเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ เคยพยายามซื้อหนังสือ Cereal จากอาแปะที่ขายหนังสือ เห็นร้านใหญ่ดีคิดว่าคงมีนิตยสารการ์ตูนนี้ เพราะหาซื้อยากเหลือทน
ผม “เออ มีหนังสือ Cereal ไหมครับ”
แปะ “หา หนังสืออะไรนะ”
ผม “Cereal ครับ เป็นหนังสือนิตยสารการ์ตูนรายเดือนครับ”
แปะ “ม่ายมีอะ ว่าแต่หนังสืออะไรชื่อไม่เป็นมงคลเลย ชื่อ ซี้เลี้ยว เหอะๆ”
ผม “-__-”

ย้อนกลับมาสู่เมนูบนเครืองบินอีกครั้ง หลังจากดูเมนูเสร็จก็พลิกไปหน้าต่อไป โอ้มีเมนูไวน์ด้วย ไวน์แดง ไวน์ขาว แล้วก็ แชมเปญ ซึ่งดูจากชื่อแล้ว ไม่รู้จักซัก อัน เห็นพาดหัวว่าเป็นไวน์ที่ถูกคัดสรร โดยใครสักคนนี่แหละ คงดีอยู่มั้ง แต่แอบงง คือ มึงจะให้กิน ไข่เจียว (Omelet) หรือ Cereal กะไวน์แต่เช้าเนี่ยนะ แล้วสภาพแต่ละคนคือตาโหลไม่ได้นอนมา แดกไวน์จะไม่เดี้ยงกันหมดลือ แต่ก็ได้แต่คิดในใจไม่กล้าถามแอร์ออกไปกลัวโดนสวน

พอนั่งได้ซักพักแอร์สาว(ตอนกลาง) ก็มาถามว่ากินอะไรดี เพื่อความเซฟเลยสั่ง ผัดหมี่ไก่ไป เจ้ แกก็ถามต่อว่า อะไรเป็น choice ที่สอง ก็เลยสั่ง Omelet ไป เจ้แกก็ถามต่อว่าดื่มอะไรไหม ก็เลยสั่ง Coke ไป หลังจากถามจนพอใจแล้วเจ้ แกก็เดินจากไป เพื่อไปหาคนอื่น ๆ ถามความต้องการต่อไป (ที่จริงอยากแอบมึนถามกลับว่าทำไมต้องมี second option วะ คิดว่า business น่าจะเสริฟก่อนนะ หรือว่าอาหารไม่เหมือนกันหว่า มันเลยต้องมีทางเลือก เผื่อสั่งเหมือนกันหมด แล้วไม่มีของให้เหรอ…)

หลังจากดูหนังแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นไปได้ซักหน่อย อาหารก็มาเสริฟ ซึ่งอยากบอกว่า ผัดหมี่ไก่จานใหญ่เบิ้ม หันไปข้าง ๆ ก็เห็นเจ้ฝรั่งนั่งกิน Omelet อยู่ แต่ก็ไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ ก็เลยจัดการโซ้ย นอกจากหมี่ไก่ก็ยังมีเครื่องเคียงมาด้วยข้าง ๆ ซึ่งจำไม่ได้ละว่าเป็นอะไร แต่ก็พอกินได้ สรุปกินจนเสร็จเหลือหมี่ไก่อีกครึ่งจาน เสียดายของนะ แต่ไม่ค่อยอร่อย ถ้าอร่อยจะบอกไปใส่ถุงให้หน่อยเผื่อเอาไปกินรอระหว่างรอเครื่อง อิอิ (ล้อเล่น)

พอกินเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาดูหนัง ซึ่งก็มีรีโมทให้ตัวนึง เลือกหนังที่อยากดูได้ของใครของมันไม่เกี่ยวกัน ดูตามใจฉันไม่ต้องตามใจคนเปิด ทริปนี้ก็ได้ดูหนังไป 2 เรื่องซึ่งหลับ ๆ ตื่น ๆ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ที่หลับ ๆ ตื่น ๆ ก็เพราะว่า เก้าอี้ไฮโซ สามารถปรับเบาะได้เยอะมากเกือบเป็นเตียงเลยทีเดียว ซึ่งสบายอย่างแรง จนไม่เป็นอันดูหนังเลย

พอบินไปได้พักใหญ่ หลายชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงสนามบิน โนบิตะ เฮ้ย Narita ซะที ซึ่งหลังจากเครื่อง landing เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลงเครื่องไปยืดเส้นยืดสาย เดินช็อปปิ้งซะที….

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น