วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

2013 CAS Winter Trip (เขาค้อ-ภูหินร่องกล้า-ภูทับเบิก) day 2

ราตรีอันเงียบสงัดและมืดสนิทกำลังผ่านพ้นไป และถูกแทนที่ด้วยนาฬิกาปลุกยามเช้าของหนึ่งในแกงค์ตากล้อง ที่ต้องตื่นก่อนไก่โห่เพื่อจะได้มีโอกาสถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น เมื่อเหล่าตากล้องลุกขึ้นเตรียมตัวจะออกเดินทางไปถ่ายรูปความฮาก็ได้เกิดขึ้น เมื่อประตูที่เป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียวของห้องนี้ดันเปิดไม่ออก  ด้วยเหตุผลกลใดก็ตามเหล่าตากล้องก็พยายามงัดแง แคะประตูเพื่อให้กลอนเปิดออก จากความเพียรพยายามอยู่พักใหญ่ คนอื่น ๆ ในกลุ่มก็เริ่มตื่นขึ้นมาด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น บ้่างก็นอนต่อ บ้างก็ลุกขึ้นมาช่วย จะมีก็เพียงสองสาวมุมห้องเท่านั้น ที่ยังสามารถนอนหลับต่อไปได้อย่างสบายใจ... ในระหว่างที่กลุ่มคนส่วนนึงมุงที่ประตูเพื่อเปิดออก บางคนพยายามโทรไปที่ reception เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่คาดว่าอาจเช้าเกินไปยังไม่มีคนตื่น เราจึงพยายามโทรหาพี่คนขับรถตู้เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ต้องผิดหวังอีก ด้วยเหตุผลเดิมคือ โทรติดไม่มีคนรับ
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น ในที่สุดหลังจากต่อสู้กับมันนับชั่วโมง ประตูก็เปิดออกด้วยฝีมือฮีโร่ของเรานั้นเอง พวกเราจึงรอดพ้นวิกฤติในครั้งนี้มาได้ แต่อนิจจาก็สายไปแล้วเพราะพระอาทิตย์ขึ้นฟ้าสว่างไปเรียบร้อย  แต่ก็ช่างเหอะ ไหน ๆ ก็เปิดประตูได้ ก็เปลี่ยนจากถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นมาเป็น กินข้าวรับอรุณกันดีกว่า พอทุก ๆ คนพร้อมแล้วเราก็ออกจากห้องพักไปยังห้องอาหารของทางรีสอร์ทเพื่อกินข้าวต้มยามเช้า พร้อมดื่มด่ำบรรยากาศอันหนาวเย็นของเขาค้อ.... หลังจากกินอาหารเช้าก็ได้เวลาออกกำลังกายละลายไขมันยามเช้าด้วยกิจกรรม ชิงช้าสามัคคีพลังมือ ซึ่งกว่าจะหลอกล่อให้หนูทดลองทั้ง 4 ขึ้นไปนั่งได้ก็ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมพักใหญ่ทีเดียวเชียว  พอเริ่มหมุนก็เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดดังใช้ได้ ถึงชิงช้าจะไม่สูงมากแต่ก็แอบน่ากลัวเพราะสิ่งเดียวที่รั้งร่างกายไว้กับตัวชิงช้าคือมือตุ๊กแกทั้งสองข้างของคนนั่งนั้นเอง หลังจากเล่นกันจนหนำใจแล้วก็ได้เวลาไปอาบน้ำเรียกความสดชื่น เพื่อจะได้ไปเที่ยวยังจุดหมายต่อไป พระตำหนักเขาค้อ

ชิงช้าพลังคนหมุน (เมื่อยมาก)

แน่นอนว่าเมื่อเรามาถึงที่พระตำหนักแล้วอย่างแรกที่ต้องทำคือ ถ่ายรูปกับป้าย เนื่องจากตากล้องคันมือที่ไม่ได้ถ่ายพระอาทิตย์ตอนเช้าเลยมาลงด้วยการกระหน่ำถ่ายรูปให้แทน ระหว่างที่หามุมถ่ายรูปเราก็ถือโอกาสเดินชมความสวยงามของสวนดอกไม้และพระตำหนักไปด้วย (เอ๊ะ พูดสลับกันหรือป่าวหว่า?)  จากนั้นเราก็เดินไปเตรียมตัวที่ตีนเขาเพื่อมุ่งหน้าสู่ ยอดเขาย่า 

เส้นทางให้ดูเป็นน้ำจิ้ม
ยอดเขาย่า จัดเป็นจุดที่เหมาะแก่การชมวิวและถ่ายรูป ระยะทางก็ไม่ใกล้ไม่ไกลเพียง 770 แม้ว เท่านั้น (หน่วยแม้วหน่ะถูกแล้ว เพราะเดินเป็นชั่วโมง แถมความชันไม่ธรรมดา เราขอแนะนำให้ท่านเตรียมใจและรองเท้าให้พร้อม ไม่งั้นจะลำบากโดยเฉพาะตอนลง)  เหมาะกับผู้รักการผจญภัยและมีใจทรหด

กว่าจะฝ่าฟันขึ้นไปได้ถึงยอดเขาก็แทบหมดลม ไม่มีใครอยากเดินกลับลงมาเลย  เพราะบรรยากาศด้านบนนั้นดีม๊ากกกก วิวก็สวย กระหน่ำถ่ายรูปกันใหญ่เลย   แต่เหตุผลจริง ลึก ๆ ในใจของทุกคนนั้นก็คือ ไม่มีใครอยากเดินแล้ว  แต่ด้วยความที่ถึงเวลากินและท้องก็ร้องหิวขออาหาร ทุกคนจึงฮึดลุกขึ้นและเดินกลับลงมาด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม (โดยมีร้านไอติมที่ขายตรงทางขึ้นเป็นจุดหมาย)

หลังจากที่ใช้พลังงานอย่างมหาศาลในยามเช้า ก็ได้เวลาเติมพลังงานกันแล้ว สำหรับมื้อนี้พวกเราตรงดิ่งไปยัง ไร่จันทร์แรม พร้อมทั้งกระหน่ำสั่งอาหารจนแทบล้นโต๊ะ (ที่จริงล้นไปแล้วแต่เก็บออก)  แน่นอนว่าความหิวไม่เคยรอใคร จึงไม่มีใครเสียเวลาการกิน เพื่อมาถ่ายรูปเลย อยากบอกว่า มะระหวานผัดไข่อร่อยมาก... กว่าจะกินอาหารที่สั่งมาหมด ทุกคนอิ่มจนเกี่ยงกันกิน

กว่าจะเคลื่อนออกจากร้านก็เกือบบ่าย 2 แล้ว  จุดหมายต่อไปก็คือ ฐานป้องกันภัยทางอากาศ ใกล้ ๆ กับอนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ ที่ฐานนี้ให้ความรู้สึกเหมือนมาเดินงานวันเด็กมาก เพราะมีโชว์เครื่องไม้เครื่องมือทางการทหาร รวมไปถึงยานพาหนะ ทั้งเฮลิคอปเตอร์แบบต่าง ๆ และ ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาดพื้นที่โดยรวมไม่กว้างมาก พอเดินเพลิน ๆ ได้ ติดแต่ว่าแดดร้อนไปนิด เล่นเอาเกรียมเลย

บรรยากาศรอบ ๆ พร้อมหนึ่งในตากล้องประจำทริป
จุดแวะต่อไปคือ อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ เนื่องจากส่วนมากหมดแรงแล้ว บวกกับที่ต้องทำเวลาเพื่อยังจุดหมายต่อไป เราจึงเสียสละให้ตากล้องทั้งสามไปถ่ายรูปตามอัทธยาศัย ส่วนที่เหลือก็นอนอาบแอร์รออยู่บนรถ   ผ่านไป 5 นาที ตากล้องก็กลับมาพร้อมเหงื่อชโลมกาย ดูแล้วก็เหนื่อยแทน พอขึ้นรถปิดประตูเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไปคือ วัดผาซ่อนแก้ว

มองขึ้นไปจากทางเข้า จะเห็นเจดีย์พระธาตุผาแก้ว
ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
วัดผาซ่อนแก้ว จัดเป็นวัดที่สวยมาก บรรยากาศโดยรอบก็ให้ความรู้สึกถึงความสงบร่มเย็น ที่นี่นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเพื่อให้เราสักการะแล้ว ยังเป็นสถานที่ปฏิบัติภาวนาของชาวพุทธอีกด้วย  นอกจากนี้รอบ ๆ เจดีย์มีการประดับกำแพงด้วยกระเบื้องรูปแบบต่าง ๆ อย่างสวยงาม ณ จุดนี้ทุกคนก็แยกย้ายเดินชมความงามของวัด ถ่ายรูป ทำบุญกันตามสมควร ซึ่งเราก็ใช้เวลาที่วัดแห่งนี้พอสมควรจนบ่ายคล้อยใกล้ค่ำก็ได้เวลาไปยังจุดต่อ เนื่องจากในทริปเรามีสมาชิกที่เคยมาที่นี่ด้วย เค้าจึงบอกว่ามีสถานที่นึงที่เราควรจะไป สถานที่นี้เป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามมาก เค้าอยากแนะนำให้เราไปถ่ายรูปกัน แน่นอนมีหรือที่เราจะปฏิเสธ ประตูรถปิด ล้อหมุนไปยังมุมถ่ายรูปทันที ซึ่งจุดถ่ายรูปนี้ก็อยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล นั่งรถไปไม่ถึง 5 นาทีก็ถึง ที่จุดนี้ด้านนึงเราจะเห็นพื้นที่อาคารทั้งหมดของวัด และอีกด้านหนึ่งเราจะเห็นขุนเขาสูงตระหง่านสวยงามมากมาย เสียแต่ว่าถ่ายมาไม่สวยเลยไม่อยากนำเสนอ เพราะของจริงสวยกว่าที่ถ่ายมาเยอะมาก

จุดหมายต่อไปของพวกเราก็คือรีสอร์ทแถวแคมป์สน(ภูคำรีสอร์ท) ซึ่งเราก็มาถึงรีสอร์ทยังไม่ค่ำมากตอนแรกว่าจะให้ทุกคนพักผ่อนก่อนจะออกไปกินข้าว แต่ด้วยความที่กลัวทุกคนจะพักเพลิน ก็เลยให้ทุกคนเอาของไปเก็บที่ห้องตัวแล้วกลับมารวมตัวเพื่อไปหาข้าวกิน จากนั้นค่อยพักทีหลังเอา...

ตอนนี้ทุกคนก็กลับมารวมตัวพร้อมแล้ว ก็ได้เวลาล้อหมุนเพื่อไปถล่มข้าวเย็นกัน ไม่เกิน 5 นาทีจากที่พักเราก็มาถึงร้านอาหารชื่อดังในเขตแคมป์สน พอรถตู้เราถึงหน้าร้านเราก็พบว่ามีคนปริมาณมหาศาลยืนรอโต๊ะกินข้าวหน้าร้าน ไม่รวมความวุ่นวายภายในร้าน ประกอบกับเมนูที่ป่ามาก ทั้งเนื้องู จรเข้ นกกระจอกเทศ และอย่างอื่นอีกที่จำไม่ได้ ทำเอาสาว ๆ ส่ายหัว เราจึงวนรถไปร้านอื่น และก็มาตกลงปลงใจกันที่ร้าน หมื่นไม้ ซึ่งบรรยากาศค่อนข้างดี เมนูน่าสนใจมากทำเอาพวกเราหัวใจพองโต กระหน่ำสั่งอาหารอย่างเมามัน พอสั่งเสร็จก็นั่งคุยกันชิว ๆ รออาหาร 1 ชม. ผ่านไปได้อาหารมา 2 จาน ทำเอาเราสงสัยว่าทำไมทำได้ช้าขนาดนี้ เหลือบไปมองรอบร้านก็มีอยู่เพียง 3 โต๊ะเท่านั้น เพื่อนคนนึงทนไม่ไหวจึงเดินไปตามอาหาร ส่วนที่เหลือก็เริ่มนั่งสั่น เพราะอุณหภูมิเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว พอไปตามเสร็จอาหารก็มาอีก 2 จาน และเวลาก็ผ่านไปอีก 1 ชม. (รวม 2 ชม. แล้วที่อยู่ร้านนี้) เราก็ยังไม่ได้อาหารอื่น ๆ เพิ่มเติม แน่นอนว่าจากความชิวก็กลายเป็นความหิว เราจึงไปตามอาหารอีกรอบ และก็ถึงบางอ้อว่าทำไมไม่ได้อาหาร เพราะรายการที่จดหาย หาไม่เจอ คนจดรายการและคนครัวต่างเกี่ยงกันรับผิดชอบ แน่นอนว่าจังหวะนี้หมดอารมณ์จะกินละพวกเราก็เลยตกลงกันว่ายกเลิกรายการทั้งหมด เพราะดูแล้วคงยังไม่ได้ทำอะไรให้ซักอย่าง ด้วยความเซ็งบางคนก็บอกว่าน่าจะไปตั้งกระทู้ประจานใน pantip ให้หายเซ็ง (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าได้ทำจริงหรือป่าว)  พอจ่ายตังเสร็จเราให้พี่คนขับตรงดิ่งมายัง 7-11 สาขาใหญ่เบิ้ม ด้วยความหิว+เซ็งสะสมทำให้เกิดการช็อปปิ้งกระจายหยิบกระหน่ำ ทั้งขนม อาหารและเครื่องดื่ม พอช็อปเสร็จก็อพยพกับที่พักพร้อมกับไปจับจองศาลาข้างห้องพักเป็นที่กินอาหาร ซึ่งสุดท้ายมื้อเย็นของเราก็จบด้วย easy go พอของคาวเสร็จ ก็ได้เวลาของหวานและเครื่องดื่ม ที่ต้องกินของหวานต่อ ก็เพราะมีคนในออฟฟิศใกล้ตัว เคยวลีเด็ด "กินคาว ไม่กินหวาน สันดานไพร่" ต่อแต่นั้นมา เลยจำเป็นต้องกินของหวานด้วย...  เนื่องจากทริปนี้เราไม่มีนักดื่มมืออาชีพจึงดื่มกันพอสนุก หลังจากกินอิ่มหมีพีมัน ก็ได้เวลานอนพักผ่อน เพื่อความพร้อมในการตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น (อีกครั้ง)

Credit: ขอบคุณ พี่จ๊อยซ์ที่ช่วย Proofread นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น