ที่เที่ยวแรกของทริปก็คือ วัดจองคำ วัดที่สวยงามและมีสถาปัตยกรรมแบบพม่าที่หาไม่มีในวัดแถบอีสาน วัดแห่งนี้เป็นวัดแห่งแรกของแม่ฮ่องสอนและยังเป็นพระอารามหลวงอีกด้วย ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ย่อม ๆ เกี่ยวกับหุ่นไม้จากพม่า อายุอานามก็น่าจะมากโข สังเกตจากสภาพไม้ที่เป็นอยู่ โดยชุดตุ๊กตาไม้ชือว่า "ตุ๊กตาไม้แกะสลักชุดพระเวสสันดร"
จุดหมายต่อไปคือ วัดพระธาตุดอยกองมู แต่ก่อนที่จะแวะไปไหว้ที่พระธาตุก็แวะที่ร้านอาหารชื่อดัง ร้านอาหารไข่มุก เพื่อสั่งอาหารเที่ยงไว้ก่อน พอลงจากภูมาจะได้กินเลย นั่งรถไปไม่นานก็ขึ้นมาถึงวัดพระธาตุดอยกองมู ด้วยความที่วัดนี้ตั้งอยู่บนเขาสูง ทำให้สามารถมองลงไปเห็นบรรยากาศภายในเมืองแม่ฮ่องสอนได้ แถมในวัดยังมีร้านกาแฟที่มีทำเลดี สามารถนั่งจิบกาแฟดื่มด่ำในรสชาติ และสุนทรียภาพในอารมณ์กับวิวที่สวยงาม หลังจากได้ไหว้พระจนอื่มบุญก็ได้เวลาหาอาหารมาให้อิ่มท้อง
มื้อเที่ยงนี้เราก็แวะฝากท้องที่ร้านอาหารไข่มุก อาหารมีหลากหลายเลย ตั้งแต่ไส้อั่วปลา รสชาติจัดจ้านไปด้วยเครื่องเทศ แต่บางคนที่ไปด้วยบอกว่ากลิ่นแรงไปหน่อย จานต่อมาก็เป็นต้มยำปลารสแซ่บ ที่อร่อยจนแทบจะยกซดเลยทีเดียว จานต่อมาก็คือเห็ดผัดกุ้ง รสชาติก็อร่อยตามหน้าตาครับ ต่อไปก็เป็น ไก่มะนาว จานนี้ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ น้ำราดทำหวานไปหน่อย ไข่เจียวเบสิกอาหารไทยที่กินได้ทุกคน หอยจ้อที่ไม่เห็นเนื้อปู แต่รสชาติก็พอไหว และจานสุดท้าย ยำผักกูด ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกินยำถั่วพลูแหละ แค่เปลี่ยนผักเท่านั้นเอง รสชาติไม่แย่ แต่ไม่ประทับใจ พอกินเสร็จอิ่มปากมัน ก็ได้เวลาล้างปากแล้วย้ายก้นขึ้นรถเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป
หมู่บ้านกระเหรี่ยง แหล่งช็อปปิ้งเลื่องชื่อที่สามารถหาซื้อสินค้าทั้ง Handmade และจีนเมด ได้อย่างมากมาย นอกจากสินค้าที่น่าสนใจแล้ว ก็คงเป็นคนขายแหละที่น่าสนใจ เพราะห่วงที่ใส่อยู่บนคอ ไม่ว่าจะดูกี่ทีก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายแทนทุกที หลังจากอิ่มใจ กระเป๋าตังยุบไปพอสมควรก็ได้เวลาล้อมหมุน ที่จริงควรตรงไปยังจุดหมายต่อไปที่ สะพานซูตองเป้ แต่แอร์รถตู้ไม่เย็น เลยได้แวะเยี่ยมชมธุรกิจ local พื้นเมืองแถวนั้น อย่างอู่ซ่อมรถ เพื่อเติมน้ำยาแอร์ หลังจากนั่งรอพักใหญ่ ก็ได้เวลาออกตัวไปต่อ
สะพานซูตองเป้ สะพานที่ทำจากไม้ไผ่ จัดได้เลยว่าเป็นไฮไลท์ของวันเลยทีเดียว สะพานมีความสวยงามและน่าประทับใจมาก ตอนไปถึงก็บ่าย ๆ แดดแรงกำลังได้ที่เลย ทำให้ถ่ายสะพานได้สวยงามทีเดียว ส่วนคนเหรอ หน้าดำ ตาหยี ร้อนหัว แสบตา เส้นทางบนสะพานนั้นเดินไม่ไกล แต่ก็เกรียมเอาเรื่องเหมือนกัน
หลังจากชมความงามของสะพานจนอิ่มใจแล้วก็ได้เวลาสู่บ้านรักไทย ซึ่งจะเป็นจุดหมายในการพักของเราในคืนนี้ ที่พักคืนนี้ชื่อว่า ลีไวน์รักไทย ทีพักออกแนวจีน ๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยไร่ชา สวยงามและอลังการ หลังจากเก็บกระเป๋าและถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาเดินข้ามมาฝั่งตรงข้ามเพื่อกินข้าวเย็น
อาหารเย็นในคืนนี้จะออกแนวจีนยูนนาน ด้วยความที่ค่อนข้างหิว ก็เลยสั่งแบบไม่ต้องเกรงใจใคร มื้อนี้ก็มี ขาหมู หมั่นโถว ซุกจักรพรรดิ์(ซุปไข่) กระดูกหมูยูนนาน (กระดูกหมูผัดซอสมัน ๆ) ผัดซาโยเต้ (ฟักแม้ว/มะระหวาน) และ ขาเห็ดหอมปรุงรส ที่หน้าตาคล้ายหมูแดดเดียว อาหารโดยรวมอร่อยถูกใจ ด้วยความที่ค่อนข้างชุลมุนในการกินจึงถ่ายมาทันแค่ 2 อย่างเท่านั้นเอง แหะ ๆ
พอกินเสร็จก็เดินเล่นแถวนั้นนิดนึง พอดีอากาศเริ่มเย็นลงอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้ากันหนาวที่ไม่พร้อมทำให้ต้องอพยพกลับห้องพักเพื่อหนีหนาวอย่างรวดเร็ว หลังจากอาบน้ำอุ่นเสร็จก็ได้เวลาเข้านอน หนาว ๆ อย่างนี้ ผ้าห่มอุ่น ๆ ก็แสนอุ่นกาย แต่ถ้ามีเธอเคียงกายคงอุ่นทั้งกายและจิตใจ (แด่เธอผู้ที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า T___T ) ฝันดีราตรีสวัสดิ์
<< Day 1 บินสู่เจียงใหม่ || Day 3 ชีวิตหยุดเวลา ณ บ้านรักไทย >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น