วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

one Day Trip กับ รถไฟท่องเที่ยว: เส้นทางน้ำตกไทรโยกน้อย




ท่องเที่ยวกับการรถไฟแห่งประเทศไทย โทรสายด่วน 169
**Sai Yok Noi Waterfall Kanachanaburi**

เส้นทางน้ำตกไทรโยคน้อย จังหวัดกาญจนบุรี
ไฮไลท์หลัก ๆ ก็ดังนี้

พระปฐมเจดีย์ - สะพานแม่น้ำแคว - ถ้ำกระแซและน้ำตกไทรโยคน้อย - สุสานพันธมิตร





วันนี้ต้องตื่นแต่เช้าตั้งแต่ ตี 5 เพราะต้องเผื่อเวลาอาบน้ำและเดินทางไปยังหัวลำโพงให้ทันรถไฟออกตอน 6:30 ตามตารางการเดินรถ พอขึ้นรถไปแล้วทุกคนจะได้รับผ้ายันต์กันตกรถ หน้าตาเป็นกระดาษ A4 ตัดครึ่งซึ่งจะมีเวลาบอกว่าจะเดินทางถึงแต่ละจุดเวลาเท่าไหร่ ซึ่งในยันต์ใบนี้มีทั้งภาษาไทย อังกฤษ และภาษาจีนด้วย แสดงว่าทัวร์นี้น่าจะได้รับความนิยมจากคนจีนด้วย


จุดหมายแรกที่เราไปถึงก็คือ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ซึ่งจากจุดที่จอดรถไฟสามารถมองเห็นได้ด้วย การเดินทางก็ไม่ไกลมากสามารถเดินเท้าได้ ระหว่างทางก็มีของกินมากมายซึ่งอาหารขึ้นชื่อก็มีหลายหลายอย่าง แต่ต้องดูให้ดีเพราะอาจซื้อผิดร้านได้ เพราะผมก็ซื้อผิด (-__-)"





หลังจากไหว้พระปฐมเจดีย์เสร็จก็กลับมาขึ้นรถเพื่อไปยังจุดหมายต่อไป จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งรถไฟสายนี้จะไปหยุดที่สะพานแม่น้ำแควเพื่อให้นั่งท่องเที่ยวถ่ายรูป แน่นอนของกินสองข้างทางก็เยอะเช่นปกติ ไม่ต้องกลัวอดอยาก ช่วงที่ไปนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว ไอติมจึงขายดีเป็นพิเศษ





พอทุกคนถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็ได้เวลาอพยพขึ้นรถไฟอีกรอบซึ่งไปยังจุดหมายต่อไป ตามรายการก็คือ ถ้ำกระแซ ซึ่งไม่ได้แวะเพราะเกิดการเดินทางช้ากว่ากำหนด =__= ก็เลยไปลงที่น้ำตกไทรโยกน้อยเลย ณ ที่น้ำตก ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี ก็เดินลัดเลาะหาร้านอาหารที่น่านั่งและน่ากิน พอกินเสร็จก็เดินย่อยนิดหน่อย พร้อมกับดูน้ำตก แต่ไม่ได้เล่นน้ำเพราะดูไม่ค่อยน่าเล่นเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ได้เตรียมตัวเปียกด้วย



หลังจากเดินทอดน่องอ้อยอิ่งก็ได้เวลากลับแล้ว ซึ่งคราวนี้รถไฟก็วิ่งยาวจนถึง สถานีกาญจนบุรี เพื่อหยุดให้ชม สุสานพันธมิตร เป็นที่แวะสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพ

ภาพสุสานพันธมิตรยามอาทิตย์(เตรียม)อัสดง

ก็ได้เลิกงามยามดีในการเดินทางกลับ กทม รถไฟก็วิ่งกลับกรุงเทพ พร้อมกับการจอดตลอดทางเพื่อรับคนกลับกรุงเทพ และส่งคนลงตามสถานีรายทาง ซึ่งกว่าจะระหกระเหินกลับมาถึงหัวลำโพงได้ก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มกว่าด้วยสภาพโทรมสุดขีด ผมแข็งยิ่งกว่าลงเจลเพราะฝุ่นจับตามหัว

สรุปการเดินทางด้วยรถไฟนำเที่ยวก็ได้บรรยากาศเที่ยวไปอีกแบบนึง ค่อนข้างเหนื่อย และสมบุกสมบัน + ฝุ่นเยอะไปหน่อย แต่ก็ได้ตามราคาที่คุณจ่าย (ร้อยนิด ๆ ไป-กลับนะ)

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตอนที่ 10 Day 3 in Downtown

มาสู่วันที่ 3 แล้วสำหรับการเทรน วันนี้ตื่นมาก็ไปทำงานตามปกติ วันนี้ดีหน่อยที่มีโอกาสได้เยี่ยมเยือน super user ที่ downtown ของ Houston ก็ถือว่าน่าตื่นเต้น ที่น่าสนใจคือที่เมืองนี้เขต downtown เงียบมากกกก แทบไม่มีคนเลย ถ้าใครเคยไปเมืองใหญ่ ๆ อย่าง New york, Chicago, Boston จะเห็นคนเดินกันหยุบหยับ แต่ไม่ใช่ที่นี่ Houston ซึ่งโล่งมากกก นึกว่าเมืองร้าง

พอเดินสำรวจเมืองพลางเดินไปออฟฟิตก็ถึงที่หมายเพื่อที่จะได้คุยงานกับฝั่ง business และเป็นการคุยกับ Face 2 Face ครั้งแรก หลังจากคุยผ่านทาง e-mail กับ โทรศัพท์เป็นเวลานึง พอเจอหน้าก็ทำการทักทายเบื้องต้นทั่วไป โดยตัวงานน่าเบื่อก็ตัดไปตอนคุยเสร็จเลยละกัน สำหรับวันนี้ก็มีโอกาสเดินใน downtown เพื่อไปหาของกินข้าวโดยมีคนนำทางพาไปกิน สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้ก็คือเกี้ยว (ขอบอกว่าตอนสั่งหิวมากกก เพราะไปสายเลยอดกินข้าวเช้าเลย)



วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตอนที่ 9 Day Two

วันนี้เป็นวันที่ 2 ของการมีเทรน ก็ตั้งนาฬิกาให้ตื่นตอนตี 5 ครึ่ง พอตื่นมาปุ๊บก็เดินลากสังขารออกจากห้องพัก แล้วตรงดิ่งไปฟิตเนส (แห่ม อย่างฟิตขอบอก..) พอเล่นเสร็จก็กลับมาที่ห้องอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็นั่งรถไปทำงาน วันนี้อากาศเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่น่าเชื่อว่าอากาศจะสามารถเย็นลงได้ขนาดนี้ภายในหนึ่งวัน แถมวันนี้ลมแรงอีกต่างหาก




ภาพบรรยากาศออฟฟิตฝั่งด้านหน้า ตอนที่แล้วจะเป็นด้านข้างของตึก



เพื่อการเริ่มต้นวันที่สมบูรณ์ก้อต้องมีอาหารเช้าที่ดี วันนี้ก็เริ่มต้นด้วยสลัดเพื่อสุขภาม(มั้ง)

วันนี้โดยรวมก็ไม่มีอะไรมาก เหมือนการทำงานทั่วไป + มีการเทรนนิ่งกับพี่เบิ้ม ขอตัดไปเที่ยงเลยละกัน วันนี้โอกาสดี มื้อเที่ยงได้กินข้าวกับพี่เบิ้ม


อาหารเที่ยงวันนี้ขอนำเสนอ potato with BBQ beef ขอบอกว่ามันใหญ่มาก แต่ก็ไม่คณาปากเพราะกินซะเรียบ นอกจากได้เยอะ รสชาติก็ยังดีอีกด้วย

กลับมาจากมื้อเที่ยงก็ทำงานตอนถึงเย็น บรรยากาศธรรมดามาก
พอเลิกงานก็ตรงกลับโรงแรมมานั่งพักได้ซักหน่อยก็ออกไปกินข้าวเย็น

วันนี้ไปลองกิน BBQ ใน Galleria mall ร้านดูซอมซ่อ นิด ๆ แต่อาหารอร่อยใช้ได้เลย ตามรูปด้านล่าง


มื้อเย็นวันนี้คือ Trio BBQ ประกอบ ด้วย Beef, Turkey แล้วก็ Pork Rib ราดด้วย BBQ sauce ตามด้วย Potato salad และ Coleslaw สำหรับ side dish โอวะมันจอร์จมากกกก

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตอนที่ 8 First day in Office

มาถึงตอนที่ 8 จนได้ตอนแรกกะเขียนบรรยายแค่ตอนขึ้นเครื่องเพราะมีเรื่องน่าตื่นเต้น ตอนนี้กลายเป็นเขียนไดอารีประจำวันไปซะแล้ว อาจเพราะไม่มีอะไรทำมั้ง จะนั่งดูทีวีอยู่ห้องก็เหงา ก็เลยไม่รู้จะทำอะไร มานั่งเขียน blog ในห้างแก้เหงา อย่างน้อยมีคนเดินผ่านไปมาจะได้รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย ถ้าทนเหงาไม่ไหวจริง ๆ คงได้เดินไปซื้อ iPad มาเล่นจะได้มีคนคุยด้วยซักนิด คอมบริษัทที่แบกมาด้วย โปรแกรมแชทอะไรก็ลงไม่ได้ เน็ตก็ต่อยาก เฮ้อ… เข้าเรื่องดีกว่า บ่นมากไปจะพาลไม่มีคนอยากอ่านเอา แค่นี้ก็แทบไม่มีแล้ว

เริ่มเรื่องเลยละกัน ช่วงเช้า ตั้งแต่มานี่ยังนอนหลับไม่ค่อยเต็มที่เลย ทั้งเรื่อง time zone ที่ต่างจากเมืองไทยเกือบ 12 ชั่วโมง ทั้งแปลกที่แปลกทาง เลยพาลให้รู้สึกพักผ่อนไม่เต็มที่ ทั้ง ๆ ที่นอนก็เยอะนะ

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่สลึมสลือตื่นมาตั้งกะตี 4 ก็เลยนอนกลิ้งไปหวังจะหลับอีกซักรอบก็ไม่หลับ จนถึงประมาณ หกโมงครึ่ง ก็เลยลุกจากเตียงเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน พอแต่งหล่อเรียบร้อย ก็ลงไป lobyy แล้วให้คนที่หน้าประตูโรงแรมเรียกแท็กซี่ให้ จะได้ไปที่ทำงาน

พอมาถึงที่ออฟฟิตแล้ว ก็ตรงดิ่งไปติดต่อกับ reception ให้ติดต่อคนที่เราจะมาเทรนด้วย ซึ่งก็เจอว่ายังไม่มา … ก็ไม่แปลกเพราะไปค่อนข้างเช้า เอาวะยังไม่มาก็ไม่เป็นไร เดินไปหาอะไรกินก่อนแล้วกัน บรรยากาศข้างตึกค่อนข้างดี เขียวชอุ่ม โรงอาหาร (Bistro) ที่นี่ก็หรูหรา ดูดี ไม่ใช่ที่กินข้าวใต้ตึกเหมือนที่ออฟฟิต แต่ความไฮโซแบบฝรั่งก็แลกกับอาหารแบบฝรั่งเพราะมีแต่อาหารฝรั่ง และเปิดอยู่ร้านเดียว ไปยืนดูเมนูซักพักก็สั่ง Burrito ซึ่งเป็นอาหาร Mexican มากิน ซึ่งก็ดีกว่าที่โรงแรมนิดหน่อยเพราะเบื่ออาหาร American แล้ว ใน bistro นี้เป็นร้านจับจ่าย คือ จับของที่จะกินมาใส่ถาด แล้วไปจ่ายตังที่เคาน์เตอร์คิดตัง รวมกันเป็น ร้านจับจ่าย.. มุกนี้ งืดแน่เลย T__T


หน้าตามื้อเช้าที่แสนธรรมดา ราคาประหยัด [Burrito ไข่ แฮม กับ น้ำผลไม้]

วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตอนที่ 7 Sunday วันชิว ๆ ก่อนทำงาน

ไม่น่าจะเชื่อจะมาถึงตอนที่ 7 ได้ ซึ่งอาจมาจากผลบุญที่ ทีวีไม่มีอะไรดู(ช่องเยอะ แต่ตูดูไม่รู้เรื่อง) เมืองไม่มีอะไรเที่ยว(ไม่มีรถไปไหนก็ไม่ได้) ช็อปปิ้งไม่เป็น(จริง ๆ ไม่มีตัง) เน็ตก็เล่นได้แค่ตอนแบกคอมไปที่มอลล์(ที่โรงแรมมีให้แต่เสือกทำไม่เป็นเอง) ก็เลยมีเวลามานั่งเขียนไร้สาระตรงนี้(แอบมีสาระจิ๊ดนึง) เอาหล่ะเกริ่นนำตอนพอแล้วได้เวลาเข้าเรื่องซักที...

วันนี้เป็นเช้าวันอาทิตย์ที่แสนสดใส ตื่นมาตอน 6 โมงเช้า ตามสุขลักษณะที่ดีของเด็กอนามัย วันนี้ตั้งใจแน่วแน่ว่า ข้าวเช้าต้องหาข้าวกินให้ได้ จากการเดินสำรวจเมื่อวานนี้ ร้านอาหารที่มีข้าวให้กินแถวนี้ ก็หนีไม่พ้นอาหารจีนถาดหลุม(ข้าวราดแกงเวอร์ชั่นเมืองนอก) และก็ดันมีแต่ในห้างนั่งเอง ซึ่งปกติแล้วห้างสรรพสินค้าก็ไม่น่าจะเปิดก่อน 10 โมงเช้า ขณะนี้เวลาก็เพิ่ง 6 โมงเช้าเท่านั้นเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็เลย นอนกลิ้งไปมาต่อ เพื่อรอเวลา ผ่านไปพักใหญ่ ก็เริ่มรู้ตัวว่านอนไม่หลับแล้ว ก็เลยลุกขึ้นจากเตียง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปเล่นฟิตเนสดีกว่า ซึ่งโชคดีที่ว่าฟิตเนสนั้นอยู่ชั้นเดียวกัน(ชั้น 5) เลยไม่ต้องรอลิฟท์ให้เบื่อ (ลิฟท์ที่นี่แอบช้า สงสัยคนเยอะ)

วันนี้เล่นฟิตเนสค่อนข้างนานกว่าปกติ เล่นไปเกือบชั่วโมงแหนะ เล่นซะเหงื่อชุ่มเลย หลังจากเล่นเสร็จก็ลากสังขาร กลับห้องมาที่ห้องอาบน้ำ เสร็จแล้วก็นอนกลิ้งไปมารอเวลาห้างเปิด

ณ เวลา 10 โมงเช้า ก็ถึงเวลาออกตัวเพื่อไปหาข้าวกินพร้อมกับไม่ลืมหนีบคอมไปด้วย พอเดินไปถึงที่ห้าง ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะร้านอาหารจีน ยังไม่เปิดให้บริการ ใจนึงก็อยากรอแต่พุงน้อย ๆ ก็บอก

"กูหิวข้าวแล้วนะ รีบหาอะไรกินก่อนกูจะเหวี่ยง"

เนื่องจากกลัวพุงน้อยจะเหวี่ยง และร้านที่เปิดก็มีแค่ Subway, Sonic แล้วก็ Mc ซึ่งตัวเลือกค่อนข้างจำกัด เลยตรงดิ่งไปสั่ง Subway มากิน ด้วยอาการหิว+ลืมตัว เลยเผลอกินจนเสร็จแล้วเพิ่งนึกออก ตายหล่ะหว่า ลืมถ่ายรูป ก็งืดไปหนึ่งมื้อ =__= แต่พุงน้อยอารมณ์ดีขึ้น

ที่บริเวณชั้นใต้ดินบริเวณนั้นมีลานไอซ์สเก็ตด้วย วันนี้เหมือนมีงานประกวดอะไรซักอย่าง ก็เลยมีการแสดงโชว์ของเด็ก ๆ ก็จัดเต็มพอสมควร คนดูไม่เยอะมาก แต่ละคนเล่นได้ดี ก็แอบเก็บภาพบรรยากาศมาให้ดู ซึ่งก็ทำให้อรรถรสในการกินข้าวดีขึ้นด้วย


บรรดาแม่(ยก)ของเหล่านักเสก็ต

บรรยากาศรอบ ๆ

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 6 วันแรกใน Houston

และแล้วก็ล่วงเลยมาถึงตอนที่ 6 ซึ่งก็คือวันแรกนั่นเอง
ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 7 เช้าได้ คิดว่าแถวนี้คงพอมีร้านค้าอะไรกินบ้าง ก็เลยจัดการอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยพร้อมหาของกิน พอเดินออกจากโรงแรมมาก็เลี้ยวซ้ายเดินไปตามทางเดินลัดเลาะไปตามถนน เพราะจำได้ว่าเมื่อวานนี้เดินไปทางขวานั้นไม่มีร้านด๋อยอะไรขายอาหารเลย จึงต้องมาวัดดวงกับอีกข้างนึง ซึ่งจำได้ว่าเห็น Starbucks แว็บ ๆ แสดงว่า เวิ้งใกล้ ๆ กันก็น่าจะมีของกิน(มั้ง) ซึ่งการเดินรอบนี้ก็ไกลพอควรประมาณ 3 บล็อก (ประมาณ 10 นาที) พอเดินไปถึงก็ต้องแอบผิดหวังเพราะมีแค่ Starbucks กับ Jamba juice ไม่มีร้านอื่นเลย ก็ได้แต่แอบเซง แล้วก็เดินท้องกิ่วกลับมาที่โรงแรม

ฉากตัดมาที่โรงแรม เนื่องด้วยหิวข้าวอย่างแรง ก็เลยไปถามที่ reception ด้วยภาษาอังกฤษกาก ๆ ว่ามีอะไรกินไหม เฮ้ยไม่ใช่ ห้องอาหารอยู่ไหน เค้าก็ตอบกลับมาว่าอยู่ชั้น 2 ค่ะ ก็เลยไปส่อง ๆ ดู ก็เห็นห้องอาหารเปิดแล้วก็เลยเดินเข้าไป พนักงานก็ถามว่ามากับกรุ๊ปอะไรหรือเปล่า ผมก็ตอบไปว่า ไม่ครับ ผมมาคนเดียวครับ (แอบเหงาอย่างแรงด้วย) อันหลังนี้ไม่ได้พูดนะ คิดในใจเฉย ๆ พอตอบเสร็จ waitress ก็นำทางมายังโต๊ะอาหารพร้อมนำเมนูอาหารเช้ามาให้ แล้วก็ปล่อยให้เราดูเมนูซักพัก จากเมนูก็ไม่รู้จะกินอะไรก็เลยจิ้มอันที่แพงที่สุด เพราะมันดูได้เยอะสุดแล้ว (อารมณ์ตอนนั้นหิวมากกก) ก็เลยสั่งมา


อาหารเช้าสุดหรู ที่พอกินได้ รสชาติไม่เท่าไหร่ สู้โจ๊กหรือข้าวราดแกง ก็ไม่ได้ สงสัยลิ้นไม่ถึงมั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 5 Howdy Houston

และแล้วก็ได้เวลาที่เครื่องบินลงจอดที่สนามบิน Houston
หลังจากที่เครื่องจอดสนิทและประตูเปิดออก ผู้โดยสารก็ลุกขึ้นหยิบกระเป๋าอย่างพร้อมเพรียงและตรงดิ่งไปรับกระเป๋า ซึ่งไม่ไกลจาก ประตูที่เดินเข้ามามากนัก เนื่องด้วยเป็น flight ในประเทศ ก็เลยค่อนข้างไม่มีอะไรมาก หลังจากไปรับกระเป๋าแล้วก็ได้เวลาหาแท็กซี่เพื่อเดินทางไปที่จุดหมายต่อไป JW Marriott Houston ตอนนั้นก็ประมาณ 5 โมงเย็น

หลังจากนั่งบนแท็กซี่ แล้วก็นั่งคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย อากาศที่นี่ค่อนข้างร้อน ทำให้แอบคิดไม่ได้ว่าทำไมตูไม่เอาขาสั้นมาด้วยฟะจะได้มีใส่ แต่ก็ไม่ทันละ ช่างมันเหอะ ระหว่างทางก็นั่งชมวิวข้างทาง คุยกับคนขับนิดหน่อย (ซึ่งฟังไม่รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง) จากสนามบินมาถึงโรงแรมก็เกือบชมได้ซึ่งเวลานั้นการจราจรค่อนข้างคับคั่งเพราะวันศุกร์เย็น และตรงข้ามโรงแรมก็คือห้าง GALLERIA ห้างช็อปปิ้งใหญ่ยักษ์ประจำเมือง Houston ก็แอบเล็งไว้กะว่าพรุ่งนี้จะไปเดินชมซักหน่อย

พอรถมาถึงที่โรงแรมก็จ่ายค่าโดยสารไป ซึ่งถ้ามาเองคงนั่ง shuttle bus แทนเพราะแท็กซี่ที่นี่แพงมากกกกก ได้เวลาเข้ามาโรงแรม ซึ่งโรงแรมก็หรูหราอย่างที่คิด พนักงานก็บริการดีมาก ประทับใจในมากขอบอก หลังจาก check-in เสร็จก็ตรงดิ่งมาที่ห้องเพื่อเอากระเป๋ามาเก็บล้างหน้าล้างตา นั่งพักได้ซัก 5 นาทีก็ได้เวลาออกจากห้องต่อ เพราะกะว่าจะไปซื้อ sim card สำหรับมือถือจะได้โทรบอกที่บ้านได้ว่าเดินทางถึงโดยปลอดภัย หลังจากถามทาง bell boy หน้าประตูก็ได้ความว่ามีร้าน T-Mobile ถัดไปประมาณ 2 แยก ซึ่งก็ไม่ไกลมาก ที่จริงทางโรงแรมมีบริการรถรับส่งในระยะ 1 ไมล์ แต่เค้าบอกว่าอีก 10-15 นาทีถึงจะกลับมา ก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเดินไปเอง จะได้ยืดเส้นยืดสายด้วย ระหว่างทางก็เจอทั้ง Walgreen และ CVS ซึ่ง ร้าน T-Mobile ก็อยู่ตรงข้ามกับ CVS ในบริเวณเวิ้งขายของ

หลังจากผ่านกระบวนการแนะนำและนำเสนอสินค้า ก็มาตกลงที่ โปรที่ถูกที่สุด 10 USD / 30 mins ตอนจ่ายตังเสร็จคนขายก็แซวว่าอย่าเผลอใช้เยอะเกินไปนะ ก็ได้แต่ตอบโอเค กับ หัวเราะกลับ เพราะไม่รู้จะตอบอะไรดี

หลังจากที่ mission แรกสำเร็จ mission ต่อไปก็ไปซื้อบัตรโทรศัพท์ที่ Walgreen ตอนแรกกะว่าจะโทรที่โรงแรม แต่พนักงานที่นั่นแนะนำว่าซื้อ international call card ดีกว่า โทรโรงแรมแพงมาก ซึ่งพอไปดูเรทก็ โอ้ว….แม่จ้าว แพงจริงๆ กลับมาที่ Walgreen ต่อ หลังจากได้บัตรโทรศัพท์ ก็เดินเล่นข้างในชมของ(กิน) โดยเฉพาะไอติมซึ่งอยากกินมาก ก็ไปเล็งไว้เดี๋ยวมารับไปกินทีหลัง >___<

ตอนจ่ายตังซื้อก็ถามเค้าว่าใช้ไง เค้าก็อธิบายมา บลา บลา… ก็คิดว่าเข้าใจนะ ก็เลยเดินกลับมาที่โรงแรม พอมาถึง ที่ห้องมองไปที่นาฬิกาก็เวลาประมาณ 2 ทุ่มแล้ว ก็เลยลองโทรกลับบ้านก็พบกว่าโทรไม่ได้ หลังจากพยายามงมพักใหญ่ไม่เป็นผลเลยลงไปหา reception ข้างล่างเพื่อขอความช่วยเหลือ เค้าก็บอกกด 011 ด้วยนะก่อนกดรหัสประเทศ ไอ้เราก็อ้าวรือ ไอ้คนขายไม่เห็นบอกด๋อยอะไรเลย ก็เลยลองโทรที่ lobby ดูว่าได้ป่าว ก็โทรติด ก็เลยคุยกับที่บ้านหน่อยนึง ไม่กล้าคุยนานเดี๋ยว นาทีมือถือ กะ ตังของบัตรหมด หลังจากคุยเสร็จก็ว่าจะกินอะไรแต่ง่วงมากกว่าเลย กลับห้องไปนอน

พออาบน้ำ แช่น้ำอุ่น สระผมเรียบร้อยก็ได้เวลานอน ซึ่งน่าจะดึกพอสมควรมั้ง ก็หลับไปไม่รู้เรื่องตื่นมาอีกที ตี 2 ก็เลยนอนดูทีวีกลิ้งไปมา ก็นอนไม่หลับ พอประมาณตี 5 เริ่มหิวละ แต่กะว่าเดี๋ยวซัก 7 โมงเช้าค่อยออกไปกินอะไรแล้วกัน ระหว่างนี้ไม่มีไรทำก็เลยเขียน blog รอเวลาตอนนี้ก็เวลา 6:30 แล้วข้างนอกยังมืดอยู่เลย เดี๋ยวนั่งอีกซักพักก็ได้เวลาหาของกิน

เดี๋ยววันนี้ ต้องไปหาวิธีต่อเน็ตด้วยจะได้อัพ blog ได้ซักที เมื่อวานตอนเย็น ๆ ไปดู fitness มา โชคดีอยู่ชั้นเดียวกัน เลยเดินไปสบายเลย เดี่ยววันไหนฟิตจะไปออกนะ ตอนนี้คิดเรื่องกินก่อน อิอิ

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 4 ทางตัน ณ Seattle

และแล้วก็มาถึง Seattle ซักที พอมาถึงก็ต้องผ่านการตรวจคนเข้าเมืองตามระเบียบ หลังจากผ่านเข้ามา ก็เดินไปรับกระเป๋าที่สายพาน ซึ่งมี อยู่ 2 ช่อง ตอนไปยืนรอก็ทำเอาเหวอ (อีกแล้ว) เพราะทั้งสองสายพานไม่มีสายการบินที่ตูมาเลย แต่มองซ้ายมองขวาแล้วก็คิดว่ารอยืนดูซักพักแล้วกันวะ เผื่อมันจะอยู่แถวนี้ พอยืนได้ซํกพักก็ในที่สุดกระเป๋าก็มา ก็ได้เวลาลากต่อไปเพื่อหาทางไปเปลี่ยนเครื่อง ก็ดีที่ทาง สายการบินให้ วิธีการต่อเครื่องมาด้วย ดังรูป



วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 3 สนามบินโนบิตะ ตึ๊ง โป๊ะ

สวัสดีครับมาถึงตอนที่ 3 ซักที อย่าพึ่งเบื่อกันหล่ะ ถ้าเขียนเนื้อเรื่องไปเร็ว เดี๋ยวมุขจะหมด แล้วจะได้ดองยาวเหมือนเรื่องอื่น ๆ

เอาหล่ะวกกลับมาต่อ ในตอนนี้เครื่องบินก็ได้กำลังดิน (land = ดิน, landing = กำลังดิน) ไม่ต้องคอมเม้นท์บอกนะ เพราะรู้อยู่แล้วว่า มันแป๊กมากกก… ต่อ ๆ พอเครื่องจอดสนิทพร้อมสัญญาณถอดเข็มขัด ก็เริ่มเห็นผู้โดยสารถอดเข็มขัดออกแล้วก็ลุกขึ้นเพื่อหยิบกระเป๋า แต่ไม่ต้องกลัวว่ากางเกงจะหลุดนะเพราะเค้าถอดเข็มขัดนิรภัย ไม่ใช่เข็ดขัดกางเกง (…………งืด)

พอเก็บของเรียบร้อยก็เตรียมทยอยลงเครื่องกัน ซึ่งค่อย ๆ ลงบันไดแล้วก็ออกประตูไป ระหว่างที่กำลังจะออกจากเครื่องก็หันไปเห็นแอร์กำลังทำหน้าที่เหมือนตำรวจจราจร คอยกั้นคนไม่ให้คนที่นั่ง economic ออก ต้องปล่อยให้พวกจ่ายแพงออกก่อน เห็นแล้วก็ทำให้คิดได้ ว่าอยู่ประตูเปิดตั้งนานละทำไมแถวใน economic มันไม่เดินกันซักที ที่แท้ต้องให้พวกนี้ลงก่อนนี่เอง คิดได้ละก็รีบเดินออกมาเพื่อจะไปต่อเครื่องบินลำที่จะไป Seattle ต่อไป

พอเดินออกมาจากเครื่องบินก็จะการตรวจคนอีกรอบ ซึ่งพลังอภิสิทธิ์กำสำแดงเดชอีกรอบ ไลน์จะตรวจมี 4 แถว 2 แถวของ eco อีก 2 แถว สำหรับ business กับ first class แต่จำนวนคนแน่ต่างกันเยอะเลย

พอผ่านการตรวจคนเข้ามาก็หลุดเข้ามาสู่อาณาเขต duty free ซึ่งแน่นอนได้รับการฝากฝัง เชิงสะกดจิต ก่อนมาว่า Royce ๆ ๆ ๆ ๆ อย่าลืมโดยเด็ดขาด ซึ่งก่อนมาก็ไม่รู้จักแต่พอมาถึงเห็นมันเป็นตู้เลย แสดงว่ามันคงดังน่าดูเลย


ช็อคโกแลต หรอย(Royce)


วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 2 ฉันจะบิน บินไปได้หยั่งนก

พบกันอีกครั้งนะครับ ท่านผู้อ่าน ตอนนี้เนื้อเรื่องกำลังเข้มข้นเลย (ตรงไหนวะ..) ช่างเหอะ เอาเป็นว่า เรามาติดตามต่อกันเลยแล้วกันครับ

ความเดิมจากตอนที่แล้วนั้น ผมกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์เชื่อมเพื่อจะไปขึ้นเครื่องบิน…
ความใหม่ในตอนนี้ หลังจากเดินมาถึงที่เครื่องบินแล้วก็ได้เวลาเดินหาที่นั่งซักที ซึ่งประตูที่เข้าก็เป็นประตูหน้าซึ่งเริ่มด้วยที่นั่งของ first class หลังจากนั้นก็เป็นที่นั่งของ Business class อะฮ้า ซึ่งเป็นของเรานั่นเอง อืม ว่าแต่นั่งเบอร์อะไรหว่า พลางหยิบตั๋วขึ้นมาดู 17B เหรอ หลังจากก้มดูตั๋วเสร็จก็เงยหน้ามองหาที่นั่ง อืม ตรงนี้เบอร์ 11 เดินไปอีกหน่อยก็ของเราละ ผมก็เดินไล่เลขที่นั่งไปเรื่อย ๆ 12, 13, 14, 15, 16 หลังจากเบอร์ 16 ก็เป็นช่องว่างที่พวกแอร์ชอบไปซ่อนตัวอยู่ ผมก็คิดว่าหลังนี้คงเป็นที่นั่งของเรา พลางชะโงกหัวไปดู อ้าวกรรมทำไมมันเริ่มที่เบอร์ 19 ฟะ แล้วทำไมเป็นที่นั่งeconomic แล้วเนี่ย แล้วที่นั่งตูอยู่ไหนเนี่ย หรือว่าจะให้ตูนั่งตักไอ้เบอร์ 16 ฟะ

หลังจากกวาดตามองไปได้ซักพักก็ไปเจอกะบันไดปริศนา ซึ่งไม่มีอะไรบอกได้เลยว่าชั้นบนมันคืออะไร ไม่มีป้าย ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ (หรือว่าไม่เห็นเองก็ไม่รู้ แต่ขอโบ้ยไปก่อน) ก็เลยคิดว่าเอาวะลองไปส่องดูละกัน ไม่ใช่ค่อยปีนกลับลงมาถาม แอร์ทีหลังละกัน (แอร์โฮสเทสนะ ไม่ใช่แอร์กี่ถึงมีแต่ป๊า ๆ ก็เหอะ ว่าแต่เขียนแอร์โฮสเตสถูกไหมหว่า… ช่างเหอะ ไปต่อดีกว่า)

พอปีนบันไดขึ้นไปแล้วก็กวาดสายไปมาก็พบกับเก้าอี้โดยสาร ซึ่งตอนนั้นถึงยังมองไม่เห็นเบอร์ที่นั่งตัวเองก็แอบใจชื้นขึ้นมาบ้าง เลยเดิน ไปดูตามเก้าอี้ และก็พบแล้วที่นั่งลับหมายเลข 17B ที่ซ่อนอยู่ชั้นบนของเครื่องนี้ ซึ่งเป็นแถวหน้าสุดติดห้องน้ำ มองไปหน้าอีกนิดก็เห็นคนขับนั่งเมาท์กันอยู่ (เม้าท์นี่คุยกันนะ ไม่ใช่นั่งเมาท์ทูเมาท์)

หลังจากที่คลายความกังวลในการหาเก้าอี้เสร็จก็ได้เวลาซึมซาบความหรูหราของเก้าอี้ แน่นอนมันไม่ใช่เก้าอี้ธรรมดาเหมือน economic มันคือเก้าอี้ไฮโซของ business class ไม่ต้องหดตัวห่อไหล่เหมือนปกติที่เคยนั่ง


พยายามหารูปจาก Google แล้วแต่ยังหาไม่ได้ไว้ขากลับถ้านั่งเครื่องเดิมจะถ่ายมาให้ดูละกัน

ตอนนี้ก็เอากระเป๋าไปฝากไว้กะแอร์ เพราะที่เก็บกระเป๋าบนหัวไม่สามารถยัดกระเป๋าเข้าไปได้ พอไปฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ ความรู้สึกแรกคือ นั่งสบายโคตร กว้างขวาง ไม่ต้องนั่งห่อไหล่ขมิบตูดกลัวกินที่คนข้าง ๆ เบาะก็นุ่มกว่า (อุปมาน ไปเองรึเปล่าไม่รู้) แต่โดยรวมดีกว่า ทีวี ก็ดูสบาย แปะกำแพงไม่ใช่แปะกับเบาะคนข้างหน้า ซึ่งมันนอนที ก็ไม่ต้องดูกันเลยทีเดียว แล้วก็มีฟังก์ชั่นๆ อื่น ๆ รอบตัว ซึ่งอยากบอกว่า … กูใช้ไม่เป็น…

พอนั่งได้ซักพัก ประตูเครื่องบินปิด และเครื่องก็เตรียมออกทะยาน ซึ่งหลังจากบินไปได้ซักพักก็มีประกาศตามธรรมเนียมทั่วไป ต่อมาก็มีการแจกน้ำพร้อมเมนูอาหารเช้า ซึ่งในเมนูมีให้เลือกสามอย่าง
- Omelet
- ผัดหมี่เหลืองไก่ - Chicken noodle
- Cereal (ซี้เลี้ยว) – ขยายความมุขเพิ่มเติม สมัยก่อนมีนิตยสารการ์ตูนรายเดือนชื่อ Cereal ซึ่งมันไม่ดังและก็เจ้งเป็นที่เรียบร้อย แต่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ เคยพยายามซื้อหนังสือ Cereal จากอาแปะที่ขายหนังสือ เห็นร้านใหญ่ดีคิดว่าคงมีนิตยสารการ์ตูนนี้ เพราะหาซื้อยากเหลือทน
ผม “เออ มีหนังสือ Cereal ไหมครับ”
แปะ “หา หนังสืออะไรนะ”
ผม “Cereal ครับ เป็นหนังสือนิตยสารการ์ตูนรายเดือนครับ”
แปะ “ม่ายมีอะ ว่าแต่หนังสืออะไรชื่อไม่เป็นมงคลเลย ชื่อ ซี้เลี้ยว เหอะๆ”
ผม “-__-”

ย้อนกลับมาสู่เมนูบนเครืองบินอีกครั้ง หลังจากดูเมนูเสร็จก็พลิกไปหน้าต่อไป โอ้มีเมนูไวน์ด้วย ไวน์แดง ไวน์ขาว แล้วก็ แชมเปญ ซึ่งดูจากชื่อแล้ว ไม่รู้จักซัก อัน เห็นพาดหัวว่าเป็นไวน์ที่ถูกคัดสรร โดยใครสักคนนี่แหละ คงดีอยู่มั้ง แต่แอบงง คือ มึงจะให้กิน ไข่เจียว (Omelet) หรือ Cereal กะไวน์แต่เช้าเนี่ยนะ แล้วสภาพแต่ละคนคือตาโหลไม่ได้นอนมา แดกไวน์จะไม่เดี้ยงกันหมดลือ แต่ก็ได้แต่คิดในใจไม่กล้าถามแอร์ออกไปกลัวโดนสวน

พอนั่งได้ซักพักแอร์สาว(ตอนกลาง) ก็มาถามว่ากินอะไรดี เพื่อความเซฟเลยสั่ง ผัดหมี่ไก่ไป เจ้ แกก็ถามต่อว่า อะไรเป็น choice ที่สอง ก็เลยสั่ง Omelet ไป เจ้แกก็ถามต่อว่าดื่มอะไรไหม ก็เลยสั่ง Coke ไป หลังจากถามจนพอใจแล้วเจ้ แกก็เดินจากไป เพื่อไปหาคนอื่น ๆ ถามความต้องการต่อไป (ที่จริงอยากแอบมึนถามกลับว่าทำไมต้องมี second option วะ คิดว่า business น่าจะเสริฟก่อนนะ หรือว่าอาหารไม่เหมือนกันหว่า มันเลยต้องมีทางเลือก เผื่อสั่งเหมือนกันหมด แล้วไม่มีของให้เหรอ…)

หลังจากดูหนังแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นไปได้ซักหน่อย อาหารก็มาเสริฟ ซึ่งอยากบอกว่า ผัดหมี่ไก่จานใหญ่เบิ้ม หันไปข้าง ๆ ก็เห็นเจ้ฝรั่งนั่งกิน Omelet อยู่ แต่ก็ไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ ก็เลยจัดการโซ้ย นอกจากหมี่ไก่ก็ยังมีเครื่องเคียงมาด้วยข้าง ๆ ซึ่งจำไม่ได้ละว่าเป็นอะไร แต่ก็พอกินได้ สรุปกินจนเสร็จเหลือหมี่ไก่อีกครึ่งจาน เสียดายของนะ แต่ไม่ค่อยอร่อย ถ้าอร่อยจะบอกไปใส่ถุงให้หน่อยเผื่อเอาไปกินรอระหว่างรอเครื่อง อิอิ (ล้อเล่น)

พอกินเสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลาดูหนัง ซึ่งก็มีรีโมทให้ตัวนึง เลือกหนังที่อยากดูได้ของใครของมันไม่เกี่ยวกัน ดูตามใจฉันไม่ต้องตามใจคนเปิด ทริปนี้ก็ได้ดูหนังไป 2 เรื่องซึ่งหลับ ๆ ตื่น ๆ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ที่หลับ ๆ ตื่น ๆ ก็เพราะว่า เก้าอี้ไฮโซ สามารถปรับเบาะได้เยอะมากเกือบเป็นเตียงเลยทีเดียว ซึ่งสบายอย่างแรง จนไม่เป็นอันดูหนังเลย

พอบินไปได้พักใหญ่ หลายชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงสนามบิน โนบิตะ เฮ้ย Narita ซะที ซึ่งหลังจากเครื่อง landing เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลงเครื่องไปยืดเส้นยืดสาย เดินช็อปปิ้งซะที….

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 1 ทริปหรรษาสู่ Houston สู่ความเวิ้งว้าง อันไกลโพ้น(ทะเล)

และแล้วก็ถึงฤกษ์งามยามดีจะได้เดินทางไป Houston ซํกที นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางแบบ Business Trip แอบตื่นเต้น อย่างแรง เพราะได้ยินจากคำล่ำลือมาเยอะ ว่าดีอย่างนู้น ดีอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ลองกะเขาบ้าง เอาละไม่ต้องพูดพร่ะทำแป๊ะมากเลยเรื่องเลยดีกว่า

ทริปนี้แอบขรุขระนิดหน่อย กอปรกับตรงที่เวลาค่อนข้างกระชั้นเลยต้องรีบทำอะไรให้เสร็จทำให้หัวปั่นนิดหน่อย

ขอเริ่มต้นเรื่องที่ค่ำคืนวันพฤหัสที่ฝนพรำ ๆ … ผมก็ทำนู่นทำนี่รอเวลาเดินทางในยามค่ำคืน เนื่องด้วยเครื่องบินนั้นมีตารางจะออกบินตอนหกโมงเช้าของวันศุกร์ (6 am) นั่นเอง ก็เลยทำให้คืนนี้ต้องโต้รุ่งเลยทีเดียว ที่จริงตอนแรกว่าจะนอนซักหน่อยรอใกล้ ๆ เวลาค่อยออกบ้าน แต่โดนหลายคนไซโค + กลัวรถติด น้ำท่วมทาง ก็เลยวางแผนที่จะออกบ้านเร็วกว่าที่คิดนิดหน่อย คือตอนแรกว่าจะออกซักตี 3 ไปถึงจะได้ไม่ต้องรอนาน แต่ไป ๆ มา ๆ ก็ต้องออกบ้านตอนตี 2 เพื่อความปลอดภัย และแน่นอนจะออกบ้านตี 2 คงไม่ได้นอนแน่นอน ไม่งั้นหลับยาวตื่นไม่ทันชัวร์ แต่ที่น่าแปลกคือไม่ว่าจะต้อง โต้รุ่งคราใด ก็ต้องมาดันง่วงนอน โคตร ๆ ทุกที ทีวันที่อื่นกะว่าจะนอนไม่ดึก ซึ่งรู้ตัวอีกทีก็ ตี 2 ยังนอนดูหนังเล่นเกมไม่มีปัญหา =____=

แล้วรอบนี้ก็แปลก ปกติผมคงไปโบกรถแท็กซี่หน้าบ้านไปสุวรรณภูมิแต่ด้วยการโดนไซโค(อีกแล้ว) เลยโทรแจ้งศุนย์ เรียกแท็กซี่มารับ ตี 2 ตรง …แท็กซี่ ก็มารับตรงเวลาดี และเมื่อล้อหมุนออกมาจากบ้านก็ได้พบว่า แหมะถนนโคตรว่างเลย ตูรีบออกบ้านทำไมเนี่ย รู้งี้นั่งเล่นเกมอีกซํกหน่อยดีกว่า ระหว่างทางก็กึ่งหลับกึ่งตื่นจนมาถึงสุวรรณภูมิ



กระเป๋าเดินทาง 2 ใบ พร้อมของเต็มอัตรจุ

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

LARVA - funny animations

วันนี้ไปเจอการ์ตูนสั้นเรื่อง LARVA
ขอบอกว่ามันฮาอย่างแรง ขอแนะนำ 2 ตอนนี้ก่อนเลยส่วนตอนที่เหลือก็ติดตามดูได้จาก link ด้านข้างนะครับ

ปล. ระวังจะหยุดขำไม่ได้นะ...
Give it a try you will love it :)

LARVA - episode "Electronic Shock"

 

LARVA - episode "Farting"


** Special Thanks to evalitha who share a great and funny animations **

เรื่องเน่าหนุ่มออฟฟิศ - ตอนที่ 6 คอนโดมิโน...คอนโดมิเนียม

ตอนที่ 6 คอนโดมิโน...คอนโดมิเนียม

“ตึ่งดิด” เสียงของโปรแกรมแชท ดังขึ้นที่หน้าจอของต่าย ซ้ง และ แม็ก

“โปรดทราบอีก 5 นาที จะ 5 โมงเย็นแล้ว กรุณาเก็บของให้เรียบร้อย จะได้เริ่มออกเดินทางกัน” หญิงพิมพ์แจ้งให้ทุกคนเตรียมตัว ผ่านโปรแกรมแชท

เมื่อแม็กเห็นจึงพิมพ์ตอบกลับ “อะนะ รีบไปไหม”  พอพิมม์เสร็จแม็กก็กดส่งข้อความกลับไปทันที แล้วหันไปเก็บของ

“ตึ่งดิด” เสียงของโปรแกรมแชทดังขึ้น อีกรอบ แม็กพลางคิดในใจ “อะไรจะตอบเร็วขนาดนี้เนี่ย”
แม็กเลยมองหน้าขึ้นเพื่อมองจอ จะได้รู้ว่าหญิงตอบอะไรกลับมา

“user ที่คุณพิมพ์หายไปซะแล้ว” เป็นข้อความอัตโนมัติตอบกลับมายังเครื่องของแม็ก เล่นเอาแม็กงงเลย เพราะแม็กตอบกลับแทบจะทันทีเลย ไม่คิดว่าหญิงจะปิดเครื่องได้รวดเร็วปานนี้

“ตู๊ด  ๆ     ตู๊ด  ๆ” เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะของแม็กดังขึ้น พอแม็กยกหูโทรศัพท์ขึ้นรับ ก็รู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใครทันที

“พี่แม็กทำอะไรอยู่ ให้ไวหน่อย...  ทุกคนเค้าเก็บคอมเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วนะ .. ไม่อยากกดดัน เดี๋ยวไปรอหน้าลิฟท์ละกันนะ” เสียงหญิงดังมาตามสาย

“รับทราบครับผม” แม็กตอบกลับ แล้วก็วางหูไป พลางคิดในใจ “ขนาดไม่อยากกดดันนะเนี่ย...” แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมากเพราะรู้ว่าพูดอะไรไปก็แพ้  T__T

พอแม็กเก็บของเสร็จก็เดินไปที่ลิฟท์  พบว่าทั้ง ต่าย หญิง และ ซ้ง ยืนรออยู่แล้ว

“พี่แม็ก อะช้า ถ้ามาไม่ทันเนี่ย เดี๋ยวปล่อยให้กลับเองเลย” หญิงแขวะใส่

“ผมกลับทีหลังก็เข้าห้องผมไม่ได้สิ จะไปนั่งรอหน้าคอนโดเหรอครับ” แม็กได้โอกาสตอบโต้กลับ

“ก็ไม่ยาก ก็พี่แม็กเอา กุญแจมาให้ หญิงไง” หญิงเสนอความเห็นกลับไป

“อ้าว แล้วผมจะเข้าห้องได้ไง” แม็กถามกลับ

“ก็มาถึงแล้วค่อยโทรบอกละกัน เดี๋ยวส่งต่ายไปรับ” หญิงบอก

“โอเค พร้อมกันหมดนะ ไปกันเถอะ” ซ้งพูดจบ ลิฟท์ที่กดไว้ก่อน ก็มาถึงพอดี

… ขณะเดินทาง ...

“แล้วมุกไม่มาด้วยเหรอ” แม็กถามขึ้น

“อ๋อ พอดีพี่มุกเค้าติดธุระหน่ะ” หญิงตอบ
“แหม พี่แม็ก ถ้าเห็นก็แสดงว่ามา ไม่เห็นก็แสดงว่าไม่มาสิ” ต่ายแขวะใส่ ขณะนั่งแชทกับเพื่อน ๆ ผ่านมือถือ

“อะนะ เล่นตูเลยนะ” แม็กบ่นมุบมิบ

“เออ ต่าย ผมว่าคุณนี่น่าจะชื่อ ยอดชายนะ” แม็กพูดต่อ

“อะไร ยอดชาย … เพื่อ ?” ต่ายเงยหน้าขึ้นพร้อมทั้งมองไปที่พี่แม็ก

“อ๋อ เพราะต่ายเป็นชายเหนือชายไง ผมก็เลยคิดว่าน่าจะชื่อยอดชายนะ” แม็กตอบ

“พี่แม็กหมายถึง ชายที่อยู่บนชาย หน่ะเหรอ” ซ้งช่วยแปลอีกที

“เหอ ๆ” หญิงหัวเราะร่วน “แหม พี่แม็กไปแซวต่ายอย่างนี้ไม่กลัวต่ายมันโกรธเหรอ”

ยังไม่ทันที่หญิงจะพูดจบดี “แหม พี่แม็กพูดอย่างนี้สงสัยจะอยากโดนนะเนี่ย” ต่ายพูดขึ้น

“วันนี้ถือว่าฤกษ์ดี ไปคอนโดพี่พอดีเลย เดี๋ยวผมจัดหนัก” ต่ายสำทับ

“อ้าว เฮ้ย ไม่ไปละ ไปที่อื่นกันดีกว่า” แม็กเกิดกลัวขึ้นมา

“ไม่ทันละพี่ อีก 5 นาที ก็ถึงคอนโดพี่แล้วเนี่ย” ซ้งตอบ
“ว่าแต่เดี๋ยวไปกินข้าวแถวนี้ กันก่อนไหม ก่อนเข้าไปดูคอนโดพี่แม็ก”  ซ้งถาม

“ก็ดีนะ จะได้มีแรงจัดหนัก ให้พี่แม็ก” ต่ายตอบขึ้น เล่นเอาเสียวสะท้านไปทั้งรถ

… หลังอาหารเย็น ณ คอนโดพี่แม็ก ...

“ห้องสวยดีนะพี่ ดูมีพื้นที่ใช้สอยเยอะดีด้วย” ซ้งพูดขึ้นหลังจากที่ทุกคนหาที่นั่งในห้องได้

“ก็พอดีแหละ อยู่คนเดียวด้วย ผมว่าแค่นี้ก็พอดีสำหรับคนเดียวหน่ะ” แม็กตอบ

“ถ้าลดปริมาณ คอมพิวเตอร์นะ คือแค่สงสัยนะ อยู่คนเดียวจะมีคอมทำไมตั้ง 3 เครื่องเนี่ย” หญิงถามขึ้น

“อ๋อ ก็ไว้ดูหนังเครื่องนึง ไว้ทำงานเครื่องนึง อีกเครื่องก็เป็นเซอร์ฟเวอร์หน่ะ” แม็กตอบ

หญิง และ ซ้งมองหน้ากันไม่รู้จะพูดอะไร

ต่ายพูดสวนทันที “ประสาท!!”

“เออ ว่าแต่ทำไมมี keyboard เยอะจังพี่แม็ก เหมือนว่าจะมีเยอะกว่าจำนวนเครื่องคอมนะ” หญิงถามขึ้นต่อ

“อ๋อ พอดีพี่สะสม keyboard หน่ะ” แม็กตอบอย่างปกติ

“พี่สะสม keyboard เนี่ยนะ” ซ้งพูดขึ้น

“เป็นการสะสมที่ไม่เหมือนใครจริง ๆ เลย” หญิงสัมทับอีกคน

“ก็นะ ก็ไม่เชิงสะสมหรอก ถ้าดีไซน์ถูกใจผมก็ซื้อเก็บไว้หน่ะ แหะ ๆ”  แม็กตอบกลับ

“อันนี้แหละ ที่เค้าเรียกว่าสะสม” ต่ายตอบให้

“อ้าวเหรอ ไม่รู้(เสียงสูง)  พอดีภาษาไทยผมไม่แข็งแรง” แม็กตอบกลับแบบเขิน ๆ

“ช่างมีรสนิยมในการสะสมของไม่เหมือนใครจริง ๆ พี่แม็กของเราเนี่ย” ซ้งแซว

“แหะ ๆ อ้อ เดี๋ยวผมเปิดรูปที่ไปถ่ายงานรับปริญญาน้องขิงให้ดู” แม็กพยายามเปลี่ยนเรื่อง ว่าแล้วก็ลุกขึ้นและเดินไปที่คอมหมายเลข 1 (สำหรับดูหนัง) เพื่อเปิดภาพให้ดู

“เออ พี่ถ่ายมาเยอะไหม” ซ้งถาม

“ก็ไม่เยอะ แค่ 1,000 กว่ารูปเอง” แม็กตอบ

“1,000 กว่ารูปนี่เรียกไม่เยอะเหรอ” หญิงพูดขึ้น

“แหม ก็ถ่ายเผื่อเลือกไง กับกันเสียหน่ะ” แม็กตอบ

“โห พี่รับรองเลือกกันจนตาแฉะแล้วกัน” ซ้งบอก

“ไม่หรอก” แม็กตอบ พร้อมเปิดรูปโชว์ที่ถ่ายมาให้ดูทีละรูป พร้อมบรรยายว่ารูปเหล่านั้นถ่ายตอนไหน แต่ที่น่าสนใจคือ แม็กนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนคนอื่นไม่อยากไปดึงออกมาจากภวังค์นั้น....




ปล. แถมเพลงดี ๆ ให้ฟังทิ้งท้าย - มันคงเป็นความรัก ost. 30 กำลังแจ๋ว

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องเน่าหนุ่มออฟฟิศ - ตอนที่ 5 จัดเต็ม

และแล้ววันจันทร์อันหน้าเบื่อหน่ายของบรรดามนุษย์เงินเดือนก็มาถึง...

“สวัสดีครับทุกคน” แม็กทักทายทุกคนด้วยเสียงตื่นเต้น

“สวัสดีจ้า น้องแม็ก เป็นยังไงบ้างวันเสาร์ที่ผ่านมานี้” พี่หมวยหัวหน้าทีมเปิดประเด็น เริ่มยิงคำถามทันที

“ก็ดีนะครับ” แม็กตอบเลี่ยง ๆ

“อืม.. แล้วเดินทางไปที่งานยากไหม” หมวยยิงคำถามกึ่งสัมภาษณ์ไปที่แม็ก เสียงในทีมค่อนข้างเงียบ ทั้งซ้งและหญิง หยุดทำงานไปนานแล้ว ถึงแม้จะยังมองจออยู่ แต่เดาได้เลยว่า ใจจดจ่อรอฟังเรื่องของแม็ก

“ก็ไม่ยากเท่าไหร่ครับ พอดีผมศึกษาเส้นทางไปก่อน แต่ที่รับปริญญาคนเยอะมากเลย เดินหาตั้งนานกว่าจะเจอน้องขิง” แม็กตอบ

“อ๋อ จ้า แล้วทำไมไม่โทรไปหาเค้าหล่ะ” หมวยตอบ

“ก็กะว่าจะไปเซอร์ไพรส์เค้าหน่ะครับ” แม็กตอบ

“แล้วตกลงพี่แม็กได้อะไรไปเป็นของขวัญรับปริญญาน้องขิงเค้าหล่ะ” หญิงทนอยากรู้ไม่ไหวเริ่มยิงคำถามบ้าง

“ก็ลองทายดูสิ” แม็กถามกลับไปยังคนในทีม

“ต้องเป็นตุ๊กตาหมีแน่ๆ เลย” หญิงรีบชิงตอบคนแรก

“ไม่ใช่หรอก ผมว่าอย่างพี่แม็ก นี่ต้องเป็น iPhone แน่ ๆ เลย” ซ้งตอบ

“เว่อร์ไปป่าว” หญิงตอบ

“แต่พี่ว่านะ อย่างน้องแม็กนี่ต้อง ดอกไม้ช่อใหญ่ แน่ ๆ เลย” หมวยร่วมเดาอีกคน

“ถูกต้องนะครับ...” แม็กตอบ

“ใครทายถูกหล่ะ” หญิงถามพร้อมทำตาใส เพราะมันใจอย่างมากว่าตนต้องทายถูกแน่ ๆ

“พี่หมวยทายถูกครับ เป็นดอกไม้ช่อใหญ่ แล้วผมก็ซื้อ gift card ให้เค้าด้วยเห็นเค้าบอกว่ากำลังจะซื้อเครื่องสำอางค์ใหม่หน่ะ” แม็กตอบ

“อะจ๊ะ จ๊ะ จ๊า..” ซ้งทำเสียงใส่ “เดี๋ยวนี้พัฒนาไปไกลนะพี่”

“ก็นิดหน่อยหน่ะ แหะ ๆ” แม็กยิ้มอาย ๆ

“เออ ว่าแต่ พี่แม็กพร้อมยัง ที่ผมนัดคุยหน่ะจำได้อยู่หรือป่าว” ซ้งถาม

“อ๋อ ก็จำได้แหละ เนี่ยก็ว่าจะเดินมาถามว่าจะไปประชุมที่ไหนดี” แม็กตอบ

“งั้นพี่ไปเดินหาห้องประชุมที่ว่าง ๆ ก่อนแล้วกันครับ เดี๋ยวผม ปริ๊นท์ เอกสารแล้วจะเดินตามไป” ซ้งบอก

“ได้ ๆ งั้นเดี๋ยวผมไปก่อนนะครับทุกคน” แม็กกล่าวลาพร้อมเดินไป

“ท่าทางเดินของแม็กช่างลันล้า เหลือเกิน” ซ้งเห็นแล้วอดที่จะคิดไม่ได้



พอแม็กเดินไปได้ ซักพักโน๊ตซึ่งเป็นเพื่อนของขิงก็ลงมาหาหญิงเพื่อคุยเล่น เพราะทั้งสองเคยร่วมทีมกันมาก่อน

“สวัสดีหญิง เป็นยังไงบ้างยุ่งไหมช่วงนี้” โน๊ตถาม

“สวัสดีโน๊ต ก็เรื่อย ๆ แหละ ว่าแต่มาทำหน้าตากะลิ้มกะเลี่ย จะมาเม้าท์ใครอีกล่ะสิ” หญิงตอบ

"อ้อ จะเมาท์เรื่องของพี่แม็กหน่ะ พอดีวันก่อนเค้าไปงานรับปริญญาน้องขิงมาเหมือนกัน น้องขิงเค้าวานให้ไปเป็นตากล้องให้หน่ะ เห็นพี่แม็คแกไปด้วย แกกดชัตเตอร์กล้องได้รัวมาก" โน๊ตได้ที เริ่มเม้าท์อย่างเมามัน

"เนี่ย พี่แม็กแกรัวชัตเตอร์อย่างดุเดือด สงสัยอยากได้รูปทุกอากัปกริยา จะอ้าปาก หาว นั่งเกาขา พี่แกก็ไม่เว้น จนคนแถวนั้นคิดว่าเป็น ปาปารัสซ๊่ ตามถ่ายดาราไปแล้วมั๊ง" โน๊ตสาธยายต่อ

“แล้วที่เด็ดที่สุด พอแม่น้องขิงจะเข้าไปถ่ายรูปเค้าก็เรียกเพื่อนๆ ของลูกไปถ่ายด้วย” โน๊ดพูดอมหัวเราะ

“และคนที่ไปร่วมถ่ายด้วยก็คือพี่แม็กใช่ไหม” หญิงพูดทันทีเหมือนกับไปร่วมงานด้วย

“ใช่แล้น ก็พี่แม็กของน้องขิงเค้าไปถ่ายรูปร่วมกับน้องขิงแล้วก็คุณแม่ของน้องขิง ดุจดังคนในครอบครัว เล่นเอาเพื่อน ๆ น้องขิงงงเลย ประมาณว่า ไอ้นี่เป็นใคร” โน๊ตพูดไปพลางหัวเราะไป

“ฮะ ๆ ๆ เห็นภาพเลย” หญิงตอบ

“อ้อ ว่าแต่พี่แม็กไปไหนหล่ะ น้องขิงเค้าวานให้มาเอาเมมโมรี่ที่ถ่ายรูปไว้” โน๊ตถามหาแม็กจากหญิง
“อ๋อ พอดีพี่แม็กมีประชุมกับซ้งหน่ะ เดี๋ยวบอกพี่แม็กให้แล้วกัน” หญิงบอก

“ได้ ๆ งั้นเดี๋็ยวเค้าไปทำงานละนะ ไว้ว่าง ๆ จะลงมาเมาท์ต่อ” โน๊ตลาจากหญิงเพื่อกลับไปทำงาน

...

และเวลาก็ล่วงผ่านเลยไปจนถึงวันศุกร์ทีมนุษย์เงินเดือนทุกคนที่ไม่ได้ทำงานวันเสาร์รอคอย

ณ เวลาพักเที่ยง

“เย็นนี้ไปไหนกันหรือเปล่าครับ” แม็กถาม

“ก็ยังไม่มีแผนนะ พี่แม็กจะชวนไปเที่ยวไหนเหรอ” ซ้งถาม

“ว่าจะชวนไปกินข้าวกัน แล้วก็ไปนั่งคุยเล่นที่คอนโดผม” แม็กตอบ

“พี่แม็กจะเปิด คอนโดเลี้ยงเหรอ งั้นตกลง” ซ้งตอบ พร้อมหันไปทางหญิง “หญิงไปคอนโดพี่แม็กไหม พี่แม็กเลี้ยง” ยังไม่ทันที่้ซ้งจะพูดจบ หญิงก็ตอบมา“ไปสิ พี่แม็กอุตสาห์จะเลี้ยงทั้งที”

“อะนะ ตูพูดตอนไหนเนี่ยว่าจะเลี้ยง” แม็กบ่นอุบ

“แหม พี่เป็นเจ้าบ้านก็ต้องเลี้ยงสิ แล้วก็ถือว่าทำบุญบ้านด้วยเลย เออ ต่ายไปด้วยป่าววะ” ซ้งหันไปถามต่าย

“ไปก็ได้ พี่อุตสาห์บอกว่าจะเลี้ยง” ต่ายตอบ

“พอกันทั้งทีมเลยวุ้ย ยังไม่ได้พูดว่าจะเลี้ยงซักคำ” แม็กได้แต่บ่นในใจ แล้วปล่อยเลยตามเลย

“ทุกคนรีบเคลียร์งานให้ว่องนะ 6 โมงเย็นล้อหมุน” ซ้งบอกพร้อมกับหันหน้ากลับไปทางจอเพื่อจะได้รีบทำงาน คนอื่น ๆ ก็แยกย้ายกันไปทำงาน เป็นอันรู้กัน

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเน่าหนุ่มออฟฟิศ - ตอนที่ 4 เตรียมตัว

ตอนที่ 4 เตรียมตัว

“ไปเที่ยวกันไหม จะไปก็รีบไป ไปกับพี่แล้วสบาย เดี๋ยวพี่พาไปกินตับๆ ๆๆ
ตับตับ ตับตับ ตับตับ ตับตับตับ ตับตับ ตับตับ ตับตับตับตับ ตับตับตับตับตับ!”
เสียงเพลงดังมาตามลำโพง เป็นประจำทุกวันตอนเช้า และอีกครั้งตอนเย็น เพื่อเตือนให้พนักงานลุกขึ้นมายืดเส้น ยืดสายบ้าง ไม่ขยันเกินไป...

เมื่อต่ายได้ยินจึงลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย พร้อมกับมองไปทางซ้ง
เมื่อเห็นซ้งยังทำงานอยู่ ต่ายเดินไปหลังที่นั่งของซ้ง แล้วทักทายตามแบบฉบับตนเอง

“พี่ซ้ง! ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายได้แล้ว” ต่ายบอก

ไม่มีเสียงตอบรับจากซ้ง ต่ายจึงสังเกตเห็นว่าซ้งใส่หูฟังอยู่ และกำลังมีสมาธิจดจ่อกับงานที่ทำ

เมื่อซ้งไม่สนใจ ต่ายจึงหันไปหาเป้าหมายใหม่ “พี่มุก” ต่ายเรียก

“อะไร” มุกตอบ มุกเป็นสาวสวยประจำทีมอีกหนึ่งคนที่อยู่ในทีมเดียวกับ ซ้ง หญิง และ ต่าย ซึ่งมีพี่หมวยเป็นหัวหน้า“พี่มุกไปทำอะไร” ต่ายถาม

“ทำไม ชั้นสวยขึ้นเหรอ” มุก ตอบเสร็จก็หัวเราะ

“ป่าว ทำไมเหี่ยววววอย่างนี้” ต่ายตอบกลับ

“ต๊ายแรงนะแก” มุกไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรจึงเดินไปหาหญิงที่โต๊ะ ใกล้ ๆ เพื่อหาตัวช่วย

“หญิง.. ช่วยพี่มุกด้วย โดยต่ายมันแกล้งอีกแล้ว” มุกทำท่าฟ้อง พร้อมทั้งไปซ่อนหลังหญิง แล้วก็แลบลิ้นให้ ต่าย

“ต่าย แกไปว่าพี่มุกเค้าทำไมหล่ะ” หญิงพยายามปกป้องพี่มุกสุดฤทธิ์

“แหม พี่มุกไปหลบหลังกระดานมันก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะ” ต่ายสำแดงฤทธิ์ต่อ

หญิงไม่รู้จะตอบโต้เยี่ยงไรก็เลยหันไปหา ซ้ง พร้อมส่งสายตาเป็นนัย ๆ ให้ช่วยกันซักนิด

“ถึงเห็นอย่างนี้ หญิงเค้าไม่ใช่กระดานนะ เค้าเป็นเสาต่างหาก” ซ้งพูดออกมา พร้อมทั้งถอดหูฟังออก

“ตะกี้เรียกหล่ะไม่ได้ยิน ทีอย่างนี้หล่ะได้ยินเชียวนะ” ต่ายได้แต่คิดในใจ

“ขอบคุณที่ซ้ำเติม” หญิงพูด

“สวัสดีครับทุกคน” เสียงแม็กทักทาย

แม็กหันไปเห็นต่ายกำลังเดินกลับไปที่โต๊ะของตน แล้วเปิดลิ้นชักหาของเสียงดัง

“หาอะไรอยู่เหรอต่าย” แม็กถาม

“หาแว่นดำ” ต่ายบอก

“อยู่ในออฟฟิศ จะใส่แว่นดำทำไมหล่ะ” แม็กถามงง

“ก็พี่แม็กเดินมาไง แถวนี้มันเลยสว่างขึ้น เพราะหัวพี่แหละ” ต่ายตอบกลับ

“อะนะกู โดนแต่เช้าเลย” แม็กพูดกับตัวเองแบบกระซิบขนาดที่คนรอบข้างได้ยิน

“เออ ผมว่าจะมาชวนทุกคนไปงานรับปริญญาของน้องขิงพรุ่งนี้หน่ะ” แม็กถาม

“ขอโทษนะพี่แม็ก ผมไม่ว่างเลย” ซ้งบอก

“หญิงก็ไม่ว่างเหมือนกัน” หญิงตอบ

“อืม ไม่เป็นไร” แม็กได้แต่ตอบออกไป ทั้งที่ในใจแอบเสียดายที่เพื่อน ๆ ไปไม่ได้ เพราะไม่ค่อยอยากไปคนเดียว เนื่องจากไม่รู้จักใครเลย

"พี่แม็กก็ไปเหอะ จะไปกลัวอะไร ผมรู้ว่าพี่อะอยากไปจะตาย อย่ามาชวนเพื่อน ๆ ไปเป็นก้างเล้ยย"
พีแม็กยิ้มกรุ้มกริ่ม แต่ด้วยความเขินอาย จึงพยายามชวนเพื่อน ๆ ไปอีก แต่ก็ไม่มีใครว่างไปจริง ๆ

“แล้วพี่แม็กเตรียมของขวัญรับปริญญาให้น้องขิงยัง” หญิงถาม

“ยังเลย หญิงมีไอเดียอะไรไหม” ซ้งถามหญิงกลับ

“ปกติ เค้าก็ซื้อ ดอกไม้ หรือ ตุ๊กตา ไปแสดงความยินดีนะ แต่บางคนก็ซื้อของใช้ให้นะ ประมาณว่าให้เอาไปใช้ได้” หญิงบอก

“อืม” แม็กฟังแล้วทำท่าครุ่นคิด

ทุกคนในทีมก็นั่งคิดพร้อมทั้งเสนอความไอเดียเรื่องของขวัญให้แม็ก แต่เหมือนจะยังไม่มีอะไรที่เหมือนจะถูกใจของแม็ก

“อ๋อ นึกออกแล้ว รับรองชิ้นนี้ต้องโดนใจแน่ ๆ” หญิงพูดขึ้น

“อะไรเหรอ หญิง” แม็กถามอย่างกระตือรือร้น

“เอางี้สิ พี่แม็กก็ผูกโบว์ใส่ตัว แล้วเอาตัวไปเป็นของขวัญให้เค้า” หญิงตอบเสร็จพร้อมหัวเราะ คิคิ

“ระวังเค้าไม่รับของขวัญของพี่นะ” ซ้งรีบสมทบ

“เค้าไม่เอาพี่แม็กหรอก เค้าคงคืนให้ทันที” ต่ายสมทบ

“อะนะ แต่ละคน” แม็กบ่น

“ถ้าพี่คิดไม่ออก ไม่ลองถามเค้าตรง ๆ เลยว่าเค้าอยากได้อะไร” หญิงถาม

“ไอเดียดีนะ แต่ผมอยากเซอร์ไพรส์เค้าหน่ะ” แม็กตอบ

“งั้นพี่ก็ถามเพื่อนเค้าสิ ไม่ก็ให้เพื่อนเค้าถามให้ก็ได้” ซ้งเสนอไอเดีย

“ผมจะไปถามใครดีล่ะ” แม็กถาม

“อ๋อ ต้องคนนี้เลยเพื่อนสนิทของน้องขิง ชื่อโน๊ต อะนี่เบอร์โทรศัพท์ที่โต๊ะเค้า” หญิงตอบ พร้อมทั้งจดเบอร์ให้

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมโทรไปถามดูก่อนนะ” แม็กยิ้มแก้มปริ พร้อมทั้งเดินกลับไปที่โต๊ะของตน

หลังจากแม็กเดินไปแล้ว ซ้งก็เอ่ยขึ้นว่า “แน่ใจเหรอว่า จะให้แม็กไปถามโน๊ต”

“แหม เพื่อนซ้ง ไม่เคยได้ยินเหรอ จีบสาวก็ต้องจีบเพื่อนเค้าด้วย ก็เป็นโอกาสดีนะ จะได้แนะนำตัวไปด้วย” หญิงตอบ

ซ้งมองหลังของพี่แม็กที่ดูร่าเริงสุด ๆ พร้อมทั้งถอนหายใจ
“ขอให้พี่แม็กอยู่รอดปลอดภัยกลับมานะ” ซ้งพูดกับตน กึ่ง ๆ ภาวนา...

วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเน่าหนุ่มออฟฟิศ - ตอนที่ 3 โอกาส

ตอนที่ 3 โอกาส

“ฮ้าว ง่วงจัง” แม็กบ่นกับตัวเอง ทั้งที่มาอยู่ประเทศไทยได้ซักพักแล้วแต่ดูเหมือนนาฬิกาชีวิตก็ยัง ไม่ปรับเข้าที่ซักที

“ตึ่ง ดึ๊ด” เสียงของ IM (Instant Messenger) ที่ใช้ภายในบริษัทดังขึ้น พร้อมแสดงรูปภาพของพี่หมวย
เมื่อเห็นพี่หมวยออนไลน์ แม็กก็รู้ว่าพี่หมวยคงมาถึงออฟฟิศ แม็กจึงลุกจากเก้าอี้แล้วเดินงัวเงียไปหาพี่หมวย

“สวัสดีครับพี่หมวย” แม็กทักทายพี่หมวยทันทีที่คิดว่าเข้าระยะได้ยินของพี่หมวยแล้ว โดยไม่ได้เดินเข้าไปข้างโต๊ะ ซึ่งเป็นจุดที่แม็กมักนั่งคุยกับพี่หมวย

“สวัสดีจ้าน้องแม็ก สบายดีไหม ดูท่าทางเพลีย ๆ นะ” พี่หมวยทักทายกลับ พร้อมด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย

แม็กไม่ทันสังเกตรอยยิ้มนั้นจึงทำท่าจะคุยต่อพร้อมทั้งเดินเข้าไปหาพี่หมวย “วันนี้พี่หมวยมาเช้าจังนะครับ..”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้พอแม็กจึงสังเกตว่าใกล้ ๆ พี่หมวยซึ่งเป็นที่นั่งของหญิงมีคนนั่งอยู่ แต่ไม่ใช่หญิง แม็กจำคนคนนั้นได้ทันทีที่เห็น

“ขิงนี่!” แม็กร้องตะโกนในใจ

“นี่น้องขิงนะ ไม่รู้ว่าทั้งสองคนเคยคุยกันบ้างหรือยัง” พี่หมวยยิงคำถาม ทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบ

“...” แม็กพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ทำหน้าเหวอ

“เคยคุยกันครั้งนึงค่ะ ตอนมีเทรนที่ชั้นบน” ขิงตอบ

“สวัสดีครับ/ค่ะ พี่หมวย พี่แม็ก” เสียงทักทายลอยมาจากด้านหลังของแม็ก ซ้งและหญิงเพิ่งจะมาถึงออฟฟิศ ก็เข้ามาร่วมสมทบในวงสนทนา

“สวัสดีจ้า เด็ก ๆ” พี่หมวยตอบกลับ

“สวัสดีค่ะ พี่ซ้ง พี่หญิง” เสียงน้องขิงทักทายมาจากด้านหลัง

“อ้าว น้องขิงอยู่นี่เหรอ โทษทีพอดีพี่ไม่เห็น” ซ้งขอโทษทันทีที่ได้ยินเสียงน้องขิง

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ๆ มาก็ดีแล้ว พอดีวันเสาร์นี้ ขิงจะรับปริญญาค่ะ เลยจะชวนไปถ่ายรูปด้วย แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ ขิงไม่อยากรบกวน” ขิงพูดอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่อยากให้พี่ ๆ รู้สึกเหมือนโดนบังคับให้ไป

“อืม..” ซ้ง กับ หญิงทำท่าคิด

“ขอโทษนะขิง พอดีว่าพี่ต้องไปทำธุระหน่ะ คงไปงานไมได้” ซ้งตอบกลับไป

“พี่ก็เหมือนกัน พอดีนัดหมอฟันเอาไว้หน่ะ ขอโทษด้วยนะ” หญิงก็ต้องปฏิเสธไปอีกคน

“พี่ก็ติดธุระ พอดีพี่นัดกับแฟนพี่ไปวัดที่ต่างจังหวัดกันแล้ว ขอโทษด้วยนะจ๊ะ” พี่หมวยก็เป็นอีกคนที่ต้องปฏิเสธไป

“อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ” ขิงตอบเสียงเรียบ

“อ๋อ น้องแม็กว่างใช่ไหม ไปร่วมงานเป็นตัวแทนพวกพี่แล้วกันนะ อ้อ... แล้วน้องขิงก็ยังไม่มีตากล้องเลย พี่ได้ยินมาว่าน้องแม็กก็ถ่ายรูปเก่งนี่่ ไปถ่ายรูปให้น้องขิงด้วยแล้วกันนะ” พี่หมวยกึ่งถาม กึ่งบอกให้แม็กไปร่วมงานรับปริญญาของขิง

“เออ...” แม็กยังไม่ทันตอบ

“พี่แม็กไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะคะ” ขิงรีบบอกทันทีด้วยความเกรงใจ

“ไม่ ๆ ผมว่าง งั้นเดี๋ยวคุยรายละเอียดอีกทีแล้วกัน ว่าแต่ ผมขอพินบีบี(BlackBerry) หน่อยสิ” แม็กรีบตอบ

ขิงทำหน้างง ก่อนจะให้พินไป

เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะ ของพี่หมวย ดังขึ้นเป็นสัญญาณของการเริ่มงานในวันนั้น ขิงและแม็กจึงลากลับไปที่โต๊ะของตน เหลือซ้งกับหญิงที่ยังนั่งหน้านิ่ว พลางคิดว่า “พี่แม็กจะเอาพินบีบี ไปทำไม(วะ)”

จังหวะนั้นเอง เอ็มหนึ่งในสมาชิกแก็งค์ F4 ก็เดินเข้ามาที่ชั้น พอเดินผ่านที่นั่งของทีมพี่หมวย เอ็มก็ทักทาย “สวัสดีซ้ง สวัสดีหญิง”

“สวัสดีค่ะพี่เอ็ม วันนี้มากับเมียน้อยหรือป่าวคะ” หญิงถามพร้อมทำหน้าแบ้ว

“หา..” เอ็มทำหน้างงสุดขีด

“ก็ปกติเห็นไปไหนมาไหนกับเมียน้อยอยู่บ่อย ๆ” หญิงพูดต่อ

“จะไปกับเมียน้อยได้ไง แฟนผมยังไม่มีเลย” เอ็มบอก

“อ้าว พี่เอ็ม ก็มีเมียน้อยก่อนแล้วค่อยมีเมียหลวงไง อิอิ” หญิงตอบให้

“อะนะ แล้วใครเป็นเมียน้อยผมหล่ะเนี่ย” เอ็มถามงง

“ก็ชื่อรถพี่ไง” ซ้งเฉลยให้

“แล้วทำไมชื่อรถผมไปเป็นอย่างนั้นได้เนี่ย ใครเป็นคนตั้งละนั่น อยากถามจังอะไรดลใจ” เอ็มพูดพร้อมยิ้มตาปิดหันไปทางหญิง

“แหม ต้องหญิงแน่นอนอยู่แล้ว” ซ้งตอบในใจทันที แต่ไม่ได้พูดออกไป แต่ก็หันไปทางหญิงเช่นกัน

“ได้ข่าวว่าพี่เอ็มขี่เมียน้อยไปทุกที่เลยนี่” หญิงแซวต่อ

“ขับ! ไม่ใช่ขี่ เฮ้อ.. รถพี่อะชื่อขอบฟ้านะไม่ใช่เมียน้อย! ไปทำงานดีกว่า” พอเอ็มพูดจบก็เดินจากไป

พอเอ็มเดินจากไป ก็ถึงเวลาเริ่มทำงานจริง ๆ ของ ซ้งและหญิง...

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเน่าหนุ่มออฟฟิศ - ตอนที่ 2 ยินดีที่ได้รู้จัก

ตอนที่ 2 ยินดีที่ได้รู้จัก

และแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาได้อีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากวันที่แม็กได้พบกับขิง แม็กยังวุ่นวายกับชีวิตประจำวันที่ต้องปรับตัว ทั้งเรื่องงาน ที่อยู่อาหารการกิน จนไม่มีเวลาคิดถึงขิง แต่ก็นะ ถ้าทั้งสองไม่มีโอกาสเจอกันแล้ว เรื่องเน่าหนุ่มออฟฟิศจะมีตอนต่อไปได้เยี่ยงไร...

“ซ้ง ไปกินข้าวกัน” แม็กเดินไปตามซ้ง ที่โต๊ะ เพื่อไปกินข้าวเที่ยง
ซ้งหมุนเก้าอี้ไปทางหญิง พร้อมทำท่าจะลุกจากเก้าอี้
“หญิง ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวค่อยขึ้นมาทำงานต่อ”

“เพื่อนซ้ง วันนี้เรามีเทรนชั้นบนตอนเที่ยงไม่ใช่เหรอ” หญิงบอก พร้อมกับโชว์ปฏิทินที่มาร์กวันเอาไว้

“อ้าวเหรอ ลืมไปเลย ว่าแต่เรื่องอะไร” ซ้งถาม

“ไม่รู้สิจำไม่ได้ แต่ที่รู้คือเค้าเลี้ยงข้าวเที่ยงด้วยนะ” หญิงทำท่ายิ้มกรุ้มกริ่ม หลังจากพูดจบ

“ปะ งั้นไปกันเถอะ พี่แม็ก หญิง เก็บของแล้วไปกันได้แล้ว” ซ้งชวนทั้งสองขึ้นไป

ณ ชั้นบน...

หลังออกมาจากลิฟท์ทั้งสามคนก็เดินไปที่โต๊ะอาหารเพื่อหยิบอาหารกล่องที่ทางบริษัทเทรน ได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ และ แวบนั้นเอง แม็กก็ตาไวหันไปเจอ ขิงเดินออกมาออกมาจากประตูออฟฟิศ ประจำชั้นพร้อมกับเพื่อน ๆ อีกหลายคน

“สวัสดีครับขิง” แม็กหน้ามึนเดินไปทัก

ขิงทำหน้างง พร้อมตอบกลับเสียงเรียบ “สวัสดีค่ะ”

“อ้อ ลืมแนะนำตัว ผมชื่อแม็กครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” แม็กเริ่มพูดอย่างสุภาพ พร้อมยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่

“ค่ะ” ขิงตอบกลับ พร้อมด้วยการเหลือบมองซ้ายขวา เหมือนว่ามองหาตัวช่วยให้พ้นจากสถานการณ์ตรงหน้า

“ขิงพักอยู่แถวไหนหรือครับ” แม็กตีมึนถามต่อ

ขิงทำท่าคิดครู่ใหญ่ ก่อนตอบว่า “แถวลาดปลาเค้า ค่ะ”

“อ๋อ งั้น คงต้องเรียกว่า น้องขิง ลาดปลาเค้า” แม็กพยายามเล่นมุกทันที

“...” ขิงเงียบอี้งไปพักใหญ่ ก่อนแม็กจะเริ่มให้ข้อมูลเพิ่มเติม

“ผมพักอยู่แถบบางแคครับ แต่ไม่ได้พักที่บ้านพักคนชราบางแคนะ ผมยังหนุ่มอยู่ ผมน่ะคนบางแค แคร์แค่บางคนนะครับ” แม็กถามเอง ตอบเอง ยิงมุกเอง เสร็จสรรพ์ในตัว เมือแม็กพูดจบ ก็โชว์รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของตนไป

“...” ไม่มีคำพูดใดหยุดจากปากของขิง

“เอ่อ..” แม็กทำท่าจะถามต่อหรืออาจจะเล่นมุกต่อ ก็ได้ แต่ไม่ทันที่จะได้พูด ขิงก็ชิงพูดก่อนว่า

“เดี๋ยวขิง ขอตัวไปกินข้าวกับเพื่อนก่อนนะ” ขิงปลีกตัวออกไปจากวงสนทนา พร้อมถอนหายใจดังลั่น ราวกับการยกภูเขาออกจากอก ไม่รู้ว่าเครึยดกับมุกแป๊ก ๆ ของแม็ก หรือ ฟังแม็กไม่รู้เรืองก็ไม่รู้

แม็กก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ได้แต่กล่าวลา แล้วเดินแยกกลับมาที่โต๊ะที่เพื่อน ๆ กินข้าวกันอยู่

แม็กเดินยิ้มกรุ่มกริ่มไปที่โต๊ะอาหาร อย่างมีเลศนัยอย่างเป็นที่สังเกต... แม็กนั่งลงบนเก้าอี้ ก้นยังไม่ทันอุ่นดี ซ้งก็เริ่มทำการแซวทันที

“อะ จ๊ะ ๆ จ๊า...” เสียงแซวดังมาจากซ้ง

“แหม พี่แม็ก ไปคุยกับสาวไม่สนใจเพื่อนเลยนะ” หญิงสมทบ

“ก็แค่ทักทายเอง” แม็กตอบ

“ไม่เบาเลยนะพี่ ว่าแต่ได้คุยอะไรกับน้องเค้าบ้างหล่ะ” ซ้งถาม

“ก็หลายเรื่องแหละ...” แม็กทำท่างุบงิบไม่อยากเล่า

“หญิง ว่าพี่แม็กคงไปเล่นมุกแป๊ก ๆ กับเค้ามาหล่ะสิ ดูหน้าก็รู้ งืด ขนาดนี้”
ซ้งหันไปมองหน้าพี่แม็ก พลางคิดในใจ “แล้วหน้างืด มันทำหน้ายังไงหว่า” แม็กเองก็คงคิดว่าหน้าตัวเองเป็นอย่างไรในตอนนี้

“เอาเหอะพี่รีบกินแล้วเข้าไปเทรนได้ละ คืนอื่นเค้าเริ่มเข้าไปกันแล้ว” หญิงเตือนสติแม็ก

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเน่าหนุ่มออฟฟิศ - ตอนที่ 1 คนข้างล่าง - ครึ่งหลัง

ตอนที่ 1 คนข้างล่าง - ครึ่งหลัง

“แกร๊ก ๆ แกร๊ก ๆ ” เสียงคีย์บอร์ดดังรัวแบบสายฟ้าแลบ เป็นเสียงที่เกิดจากการทำงานอย่างขยันขันแข็งของบุคคลากรอีกคนหนึ่งของทีม

“พี่แม็กชอบน้องขิงใช่ไหมคะ” เสียงใสดังกระวานดังสอดแทรกมาจากเสียงพิมพ์คีย์บอร์ด เป็นคำพูดที่สั้น แต่ดึงความสนใจได้อย่างมหาศาล ทั้งแม็กและซ้งต่างมองไปทางที่มาของเสียง ทั้งสองก็เห็นหญิง นั่งทำงานอย่างขยันขันแข็ง ใบหน้ายังจ้องไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ นิ้วมือทำการพิมพ์ตัวอักษรอย่างต่อเนื่อง ราวกับนักดนตรีบรรเลงเปียโน

“แกร๊ก ๆ ..” เสียงคีย์บอร์ดยังดังต่อเนื่อง ท่าทางวันนี้งานน่าจะเข้า คงเป็นวันยุ่ง ๆ อีกวันของหญิง

“สวัสดีครับหญิง แหม.. อะไรทำให้หญิงคิดว่าพี่ชอบน้องเค้าหล่ะ พี่ว่าหญิงน่ารักกว่านะ” แม็กทักทายและหยอดคำหวานตามสไตล์ส่วนตัว พร้อมพยายามเลี่ยงตอบคำถามของหญิง

“น้องขิง ก็น่ารักดีนะ แต่ก่อนเคยอยู่ทีมเดียวกับพี่หมวย น้องขิงเลยชอบแวะลงมาคุยกับพี่หมวย..”

“อ้อ ที่สำคัญน้องขิงยังไม่มีแฟนนะพี่แม็ก พี่ยังมีโอกาสนะ” หญิงพูดโดยไม่ได้มองมาที่แม็ก แล้วยังไม่ได้สนใจคำตอบของแม็กอีกด้วย ไม่รู้ว่าหญิง ไม่สนใจคำตอบของแม็กอยู่แล้ว หรือว่า หญิง อาจฟังแม็กพูดไม่รู้เรื่องกันแน่ เพราะแม็กพูดภาษาไทยด้วยสำเนียงอังกฤษ ด้วยความเร็วสูงราวกับกลัวคนแย่งพูด รวมถึงการวางรูปประโยคได้น่างุนงงนัก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เนื่องจากแม็กย้ายถิ่นไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่สมัยมัธยม จนเพิ่งกลับมาเร็ว ๆ นี้ ก็กินเวลากว่า 16 ปี ที่แม็กอยู่ที่นั่น จึงไม่แปลกที่จะแทบจะลืมภาษาไทยไปแล้วเพราะแทบไม่ได้ใช้งาน

“อา...” แม็กพยายามที่จะพูด

“เพิ่งรู้นะว่าพี่แม็ก ชอบสเปคสาวแบบไทย ตัวเล็ก นึกว่าจะชอบแบบฝรั่งหุ่นนางแบบขาว ๆ สูง ๆ ซะอีก” หญิงพูดอย่างต่อเนื่องโดยไม่เปิดโอกาสให้แม็กได้พูดอะไร

“อา...” แม็กพยายามจะพูดอะไรซักอย่าง

“แหม ก็พี่แม็กอยู่เมกาตั้งนาน ก็เลยกลายเป็นฝรั่งไง ชอบสาวแบบไทย ๆ” ซ้งสำทับโดยไม่เปิด โอกาสให้แม็กได้พูด

“ใช่ ๆ … ” ขณะหญิงกำลังจะพูดต่อ ก็เหลือบไปเห็นแม็กนั่งนิ่งพร้อมกับยกมือขอโอกาสพูด หญิงจึงเบรคคำพูด แล้วก็เปิดโอกาสให้แม็กได้พูดบ้าง

“แหม สองคนนี้ ว่าผมจัง ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดเลย.. ซ้งนี่ก็เข้าข้างหญิงตลอดเลยนะ”

ขณะนั้นเอง พี่หมวยก็กลับมาจากการประชุม เดินผ่านหน้าซ้งและแม็กเพื่อกลับไปยังที่นั่งประจำตำแหน่ง ข้าง ๆ กับที่นั่งของหญิง

"พี่หมวยครับ ซ้งกับหญิง แกล้งผมอีกแล้ว" แม็กทำการฟ้องพี่หมวยทันทีพี่หมวยหย่อนก้นลงนั่ง
"แหม ๆ เด็ก ๆ อย่าทะเลาะกัน ว่าแต่ไปแกล้งอะไรน้องแม้กเค้าหล่ะ" หมวยถาม ที่จริงแล้วพี่หมวยของน้อง ๆ ในทีม ก็มีอายุมากกว่าน้อง ๆ ในทีม 2-3 ปี เท่านั้นเอง

"ไม่มีอะไรมากหรอกพี่หมวย ก็แค่แซวพี่แกเฉย ๆ เห็นอึ้งไปตอนน้องขิง เดินผ่านไป" ซ้งตอบ

“เหรออออ...” แม็กลากเสียงยาว

"อ๋อ อย่างนี้นี่เอง...” พี่หมวยมองแม็กสายตามีเลศนัย

“พี่ว่าน้องขิงเค้าก็นิสัยดีนะ จากที่พี่คุยล่าสุด เค้ายังไม่มีแฟนล่ะ
ว่าแต่น้องแม็กจะจีบน้องเค้าเหรอ น้องเค้ายังเด็กอยู่เลยนะ" หมวยพูดพลางหันไปสบตาแม็กอีกที

“แหม พี่่หมวยก็อีกคนนะ สมแล้วกับที่ทุกคนอยู่ทีมเดียวกันจริง ๆ” แม็กพูดแทบจะทันทีหลังจากที่หมวยพูดจบ ยังไม่ทันที่แม็กจะกล่าวอะไรต่อ ก็มีคำพูดดังมาจากด้านหลังของแม็ก ซึ่งได้หันหน้าไปทางพี่หมวยในขณะนั้น

“พี่แม็ก มาทำไรแถวนี้ ไม่มีงานทำเหรอ” คำพูดพร้อมน้ำเสียงแดกดันอย่างเป็นเอกลักษณ์ของเขาคนนั้น
แม็กรู้ได้แทบจะทันทีว่าคนที่พูดลักษณะนี้มีเพียงคนเดียว ก็คือ ต่าย น้องเล็กสุดประจำทีม นั่นเอง

“หวัดดีต่าย” ทุกคนในทีมทักทายไปที่ต่าย

“สวัสดีครับ” ต่ายทักทายกลับทุกคน

“ว่าแต่พี่ชวนนั่งจับกลุ่มเมาท์แต่เช้าเลยนะ” ต่ายยังแขวะแม็กต่อ

“อ้าววุ้ย ว่าตรูดีจัง กลับโต๊ะไปทำงานก็ได้วะ” แม็กก็เดินกลับไปยังโต๊ะของตน และ วงสนทนาเรื่องเล่าเช้านี้ก็จบลงโดยปริยาย

…...

หลังจากที่แม็กกลับมานั่งประจำที่ได้สักพัก แม้ร่างกายของแม็กจะได้ตั้งท่าเตรียมพร้อมทำงาน มือวางที่คีย์บอร์ด นัยน์ตาเหมือนจ้องมองไปทางจอคอมพิวเตอร์ แต่จริง ๆ แล้วความรู้สึกของแม็กได้ล่องลอยไปหาสาวชั้นบนเรียบร้อยแล้ว....

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเน่าหนุ่มออฟฟิศ - ตอนที่ 1 คนข้างล่าง - ครึ่งแรก

นิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องหรืออ้างอิงจากบุคคลใด ๆ หรือองค์กรใด ๆ ถ้าไปตรงกับเรื่องใครก็ซวยไปแล้วกัน เราไม่รับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้นนะขอบอก...

Chapter 1.....

ตอนที่ 1 คนข้างล่าง - ครึ่งแรก

“อยากรู้ว่าจะมีใครไหม ที่มีความรักแล้วต้องเก็บเอาไว้...” เสียงเพลง ของ บอย โกสิยพงษ์ ดังแว่ว ออกมาจากหูฟังของพนักงานหนุ่มอิมพอร์ทมาจากเมืองนอก เขาฮัมเพลงนี้พร้อมกับเช็คอีเมล์

“สวัสดีครับพี่แม็ก วันนี้มาแต่เช้าเลยนะครับ” คำทักทายดังแว่วมาจากด้านหลัง ทำให้พนักงานหนุ่มนอก ตื่นออกมาจาก ภวังค์

“สวัสดีซ้ง พอดีเมื่อคืนนอนเร็ววันนี้เลยตื่นเช้าหน่ะ” แม็กตอบกลับอย่างเนือย

“พี่ดูเหนื่อย ๆ นะ พี่เมือคืนนอนดึก เหรอ” ซ้งถาม

“อ๋อ พอดีเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับหน่ะ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยมาที่ออฟฟิศ”

“อ๋อ ว่าแต่พี่พอมีเวลาไหม มาที่โต๊ะผมหน่อยสิ อยากถามเรื่องงานหน่ะ”

“ได้สิ เดี่ยวเดินตามไป” แม็กตอบกลับ

….

“เออ ผมว่าตรงนี้เราควรปรับนิดหน่อยนะ” แม็กบอก
“อืม แล้วพี่ว่าแก้เแล้วให้ออกมาแบบไหนดี” ซ้งถาม
“ผมว่า...” ยังไม่ทันที่แม็กจะพูดจบก็มีคำทักทายกล่าวมา
“สวัสดีจ้า เด็ก ๆ” เสียงใสดังแว่ว มาพร้อมกับ พี่หมวยหัวหน้าทีมของทั้ง แม็ก และ ซ้ง

“ส่วัสดีครับพี่หมวย” ทั้งแม็ก และ ซ้งกล่าวทักทาย กลับ

ขณะที่พี่หมวยจัดแจงข้าวของให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมตัวเริ่มทำงาน ก็มีสาวน้อยคนนึงเดินเข้ามาหา

“สวัสดีค่ะพี่หมวย” สาวน้อยกล่าว

“สวัสดีจ้าขิง ไม่ได้แวะมาเยี่ยมนานเลยนะ เป็นยังไงบ้าง” พี่หมวยตอบกลับ

“ก็ดีค่ะ” แล้วบทสนทนาของสองสาวก็เริ่มขึ้น

…..

“เดี๋ยวขิงขอตัวไปทำงานก่อนนะ”

“ได้จ้า เดี๋ยวก็จะมีประชุมเหมือนกัน” หลังจากนั้น ขิงก็ลากลับไปทำงาน ส่วนหมวยก็ลุกจากที่นั่งไปประชุมต่อไป

“พี่แม็ก ว่ายังไงบ้างครับ” ซ้งถามโดยตายังจ้องมองไปที่จอ

“.....”

“พี่แม็ก คิดว่าควรแก้ตรงไหนอีกไหมครับ” ซ้งถามต่อ โดยไม่ได้หันไปมอง

“....”

หลังจากไม่ได้คำตอบ ซ้งจึงหันไปดูก็พบว่า พี่แม็กของเรานั่งเหม่อ อยู่

“เหม่อ อะไรอยู่พี่” ซ้งถามพร้อมสะกิด

“ก็ไม่มีอะไรหรอกก็แค่น่ารัก” แม็กตอบ

“อะไรนะพี่” ซ้งถามด้วยความงงงวยกับคำตอบของแม็ก

“อ๋อ ก็น่ารัก” แม็กตอบ

“อะไร ของพี่เนี่ย ” ซ้งบ่นกับตัวเอง แล้วเขาก็มองตามทิศทางการมองของพี่แม็ก ก็เห็นหลังของขิงกำลังเดินไปที่ลิฟท์ เพื่อเดินไปทำงาน

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ซ้งคุยกับตัวเอง

“ชื่อน้องขิง ครับพี่ ทำงานอยู่ชั้นบน หน่ะครับ” ซ้งแย๊บข้อมูลไป

“อืม ว่าแต่โทษทีนะตะกี้ไม่ได้ฟังว่าซ้งพูดอะไร พูดใหม่อีกทีซิ”

“อ๋อ ก็ผมถามพี่ว่า … ”
“ดูเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ของแม็กจะมาถึงแล้วสิ” ซ้งคิดในใจ